Pages

Sunday, September 30, 2012

My food in pictures

สวัสดีค่ะ

เนื่องจากมีเพื่อนต่างชาติที่คุยกันหลายๆคน และที่ Like ใน Facebook กระซิบมาว่า บล็อกแอนเป็นภาษาไทย พอใช้อากู๋แปลแล้ว มันตลกมากๆ แปลเป็นคนละเรื่องไปเลย ไม่เกี่ยวกับการออกกำลังกาย ดังนั้นบล็อกนี้จะขอบล็อกเป็นอังกฤษนะคะ เพราะเพื่อนต่างชาติ เค้าอยากรู้เกี่ยวกับเรื่องโภชนาการด้วย...ออกตัวไว้ก่อนว่า ไม่ได้เก่งภาษา ถ้าแกรมม่าผิดอะไรก็ อย่าว่ากัน...นะคะ :D

Hi everyone,

I got messages/questions about what do I usually eat,how much,when, if I can give an example of food I eat each day or what diet I am on.So, I thought this blog is a good idea to answer all those questions :)

Let me state first, I don't like the word "diet".Why?? Because when we think of " diet" we always think of those lost 7 lbs. in 1 week thing. To me, it's totally unrealistic and unhealthy.

If you follow me on my facebook page, I usually post my food pics on my timeline. My purpose is to share what a healthy eating is like and what I normally eat. As I wrote in the previous blog that I like keeping my food 80% clean and 20 % treats. I don't believe in 100% strict diet unless you're on figure competition. I believe in eating real food (most of time) and  enjoying your life :)

Staples in my nutrition are as follow :

Protein: Organic,free-range eggs(preferbly), chicken, turkey,homemade greek-style yogurt, cod, tilapia, shrimp, tuna, salmon, grass-fed beef(once a month), pastured pork

Starchy carbs : rice/brown rice,butternut squash, sweet potato.

Fruits : I love fruits :D So, I eat whatever  in season.

Veggies : Try to eat colorful vegetables as many as I can. Kale,collard green, spinach,romain lettuce, arugula, colored bell peppers,mushroom, carrots,celery, broccoli, cauliflower, zuchini ,herbs & spices etc.

Fat : Extra virgin olive oil, avocado, nuts( raw or dried roasted), coconut oil,coconut milk, almond milk, nitrite-free bacon (once a week)

Treats and 1 or 2 off- plan meals (Saturdays or Sundays...depends) : Tacos, pizza, pasta, my homemade ice cream, any kind of bake goods, and dark chocolate.

You see....I do eat!! LOL

Notes :
1. I'm not a food photographer and I use my ipad to take pictures.So my food might not look pretty.
2. I eat protein,vegetable and healthy fats at every meal and either starchy carbs or fruits depending on my training schedule.
3. I don't eat oatmeals,wholewheat/whole grain pasta or bread because they make my stomach bloat really bad, so you won't find them in my food list.

So, this is what I ate yesterday :

Morning : 1 big glass of warm water with freshly squeeze lime/lemon juice.I've been doing this in the past 3 years. It's a great way to wake up :)


Then I had a big cup of coffee with splash of organic half-half (sorry no pic)

                                                Breakfast 10:00 am.
 
Colorful plate ;)
2 whole eggs + 2 strips of bacon( not pictured)+ 2 cups of kale, couple strawberries,sliced and drizzled with little bit olive oil and fresh lemon juice. Kale has tons of calcium.Vitamin c in lemon juice helps your body absorb calcium from green veggies.


Lunch 2:00 pm



Chicken & veggies(red & green bell peppers,celery & zuchini) stired-fried with curry powder(ไก่ผัดผงกะหรี่). I ate with cauliflower rice( leftover from dinner yesterday)  Making this faux-rice is another great way to add vegetables into your diet. I will post the recipe later :)
 
 
Post-Workout Snack 6:00 pm
1/2 cup greek yogurt,1 frozen banana, 1/2 cup frozen blueberry, 1 handful spinach & unsweetened almond milk
 
Dinner 7:30 pm
 
Tilapia with yellow curry sauce( ปลานิลทอดราดซ็อสแกงกะหรี่),rice, grape tomatoes,cucumber & spinach. You can tell I'm a curry lover lol.  Those chili peppers,lime juice & fish sauce are my thai staples. I can't live without them :)
 

That was my food that I ate yesterday. As I said I keep it 80% clean and 20 % treats, let's take a look on that 20% I had today.
 
It was White chocolate & strawberry cheesecake. I shared this with the kids. It was absolutely divine!!

Now you might ask" How many calories is that??"  I simply don't care about counting calories. I used to do it and honestly found it was obsessive. In my opinion, t's not that important...seriously!! I eat when I'm hungry ,I eat real food and stop when I'm about 80% full.

Some of you might think I eat carbs so little and eat only 3 squar meals instead of eating 6-8 small meals. Well, there's no one-size-fit-all eating approach. We all are different.Some of you will do fine on heavy carbs but I don't. Eating too much carbs causes me sleepy and lack of energy. I do just fine on protein and fats even when I do weight training( and I'm not talking about lifting those 3 lbs. dumbbells ;) )
 Eating small meals isn't suitable for me. I don't have time to sit down and eat "small meals" that often. I used to do that and found myself think about food ALL.THE.TIME!! And if I missed my meal, I got cranky!!  It's just me, if you're fine with small meals, then keep doing it :) There's no right or wrong.

The most important thing is eating this way makes me happy and healthy. It enhances my performance on my training and makes me feel good inside & out.

Alright, enough for me :) How about you?? I want to hear about what you eat as well :)

Ann

Follow me on Drop Dead Healthy Facebook Page





Wednesday, September 26, 2012

12-Week Lifting Program Week 7- Week 8, Day 2

สวัสดีค่ะ

วันที่ 2 ของวีค 7-8 นี้ จะเป็น กล้ามเนื้อหน้าอก(Chest)และกล้ามเนื้อหลังแขน(Triceps) เวิร์คเอาท์นี้ จะเล่นกล้ามเนื้อหน้าอกก่อน เพราะเป็นกล้ามเนื้อกรุ๊ปใหญ่กว่ากล้ามเนื้อหลังแขน สิ่งที่ควรระวังก็คือ การรักษาท่าที่ถูกต้อง( Maintain good forms) และการเลือกน้ำหนักโดยเฉพาะท่าที่ใช้กล้ามเนื้อหลังแขน เช่น Triceps Kickbacks ถ้าเราเลือกน้ำหนัก หนักเกินไป เราจะ cheat โดยที่ใช้แรงโมเมนตัม แทนที่จะใช้แรงจากกล้ามเนื้อ เพราะฉะนั้น เราจะเห็นผลลัพธ์ได้ ต้องรักษาฟอร์มให้ถูกต้องนะคะ และยังจะช่วยป้องกันอาการบาดเจ็บที่จะเกิดตามมาได้ด้วย
วันนี้ก็ยังเป็นวิดีโอจากยูทูป ทั้งที่แอนได้ทำไปก่อนหน้านี้แล้ว เพราะข้อมือยังต้องพักรักษาอยู่ :)

Week 7- Week 8
Day 1 :Legs + Cardio 25 minutes Incline Walk
Day 2 : Chest & Triceps + Cardio เหมือนวันที 1
Day 3 : Back & Biceps + Cardio เหมือนวันที่ 1
Day 4 : Shoulders,Abs & Calves + Cardio HIIT 20 minutes
Day 5- Day 7 : Rest...stay active !!

อุปกรณ์ที่ต้องมี
1. สมุดจด ปากกา นาฬิกาจับเวลาตอนพัก
2. เวทดัมเบลล์/Resistant band หรือขวดน้ำที่หนักๆไว้ใช้แทนดัมเบลล์
3. Exercise ball ไม่มีก็ไม่เป็นไรนะคะตัวนี้

Chest & Triceps
1. Ball Chest Fly
2. Ball Chest Press
3. Incline DB Press หรือ Decline Push up
4. Overhead Rope Extension/ Seated Overhead DB Extension
5. Triceps Kickbacks
6. Triceps Dips
7. DB Skull Crusher

คำอธิบาย
แต่ละท่า จะทำทั้งหมด 3 เซ็ท 1 เซ็ท ให้ทำจำนวนครั้งตามที่ท่านั้นกำหนดไว้ เมื่อทำครบ 1 เซ็ท ให้พัก 60 วินาที แล้วจึงเริ่มเซ็ทที่ 2 ทำท่านั้นจนครบ 3 เซ็ท ค่อยเริ่มท่าถัดไป

1. Ball Chest Fly 3 เซ็ท เซ็ทละ 12 ครั้ง

ใครไม่มีดัมเบลล์ ใช้ขวดน้ำดื่มหนัก 2 ขวด(ขนาด 1 ลิตร แอนว่าใช้ได้เลยล่ะค่ะ) ถือแทนดัมเบลล์ได้นะคะ
   

2. Ball Chest Press 3 เซ็ท เซ็ทละ 12 ครั้ง


3. Incline DB Press หรือว่า Decline Push up 3 เซ็ท เซ็ทละ 10 ครั้ง
ท่านี้จะอยู่ในวีคที่ 5-6 ด้วยนะคะ ลองย้อนกลับไปดูว่า อาทิตย์ก่อนนั้น เราทำได้กี่ครั้ง วันนี้ ลองทำให้มากกว่าครั้งก่อนซัก 1 ครั้ง...ทำได้มั้ย อย่าลืมนะคะ 1 ครั้งก็ถือว่าเป็นการพัฒนาเช่นกัน


4. Overhead Rope Extenstion หรือ Seated Overhead DB Extension 3 เซ็ท เซ็ทละ 12 ครั้ง
ท่านี้คนที่ทำที่บ้าน จะไม่มีอุปกรณ์ทำท่า Rope Extension แต่เราสามารถแทนด้วยการใช้ดัมเบลล์ ท่านี้ต้องระวังก็คือ
    1. หลังต้องเป็นเส้นตรง โดย Keep your abs tight เกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้องไว้ เพื่อที่ว่า หลังเราจะไม่แอ่นตามน้ำหนักเวทด้านหลัง
    2. ข้อศอกให้หันไปด้านหน้า ไม่กางออกด้านข้าง
    3. ต้นแขนให้แนบกับหู ไม่ขยับไปมา


5. Triceps Kickbacks 3 เซ็ท เซ็ทละ 15 ครั้ง
รักษาระดับข้อศอกให้อยู่แนวเดียวกับหัวไหล่นะคะ ถ้าข้อศอกเริ่มตก แสดงว่าเวทหนักไป ลดน้ำหนักเวทให้เบาลง


6. Triceps Dip 3 เซ็ท เซ็ทละ 15-30 ครั้ง
เวลาท่าที่เป็น bodyweight แนะนำให้ทำเป็น max reps คือทำให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยรักษาฟอร์มให้ถูกต้องด้วย


7. Dumbbell Skull Crusher 3 เซ็ท เซ็ทละ 15 ครั้ง
ท่านี้เป็นท่าเล่นกล้ามเนื้อหลังแขนที่แอนชอบมากๆ :D ชื่ออาจจะดูโหดไปหน่อย
สิ่งที่ต้องระวังสำหรับท่านี้จะเหมือนกับท่า Overhead DB Extension นะคะ
  1. ข้อศอกอย่ากางออกด้านข้าง
  2. เวลาดันเวทขึ้น ให้บีบกล้ามเนื้อไตรเซ็พด้วย
  3. ถ้าทำไปแล้วครึ่งทางแขนเริ่มสั่น อย่าฝืนทำต่อนะคะ ให้วางเวทลง ไม่งั้นจะดัมเบลล์จะตกใส่หน้าได้


คนสอนหน้าแอบคล้าย Josh Duhamel นิดๆเนาะ ;)

วันนี้ไม่มีเล่นหน้าท้องนะคะ เพราะเมื่อวานเราเพิ่งทำไป แต่อย่าลืมทำคาร์ดิโอ 25 นาที หลังจากเล่นเวทเสร็จเหมือนเมื่อวานด้วยนะคะ



ขอบคุณที่ติดตามค่ะ สนุกกับการออกกำลังกายนะคะ :)

แอน

ติดตามอัพเดทของบล็อกได้ทาง Drop Dead Healthy Facebook Page

Tuesday, September 25, 2012

12-Week Lifting Program Week 7-Week 8 Day 1

สวัสดีค่ะ

อาทิตย์นี้ทั้งอาทิตย์ รายละเอียดคงจะเป็นรูปภาพ ไม่ก็วิดีโอที่เสิร์ชจากยูทูปนะคะ เพราะข้อมือแอนยังเจ็บอยู่จากเมื่อวันอาทิตย์ที่เล่น monkey bar กับลูกสาว เคลี่น่ะ กล้าๆกลัวๆ แค่กระโดดเกาะบาร์แป๊ปๆ แล้วก็ปล่อย ไม่ยอมโหนเปลี่ยนบาร์ ไอ้เราก็ด้วยความที่อยากให้ลูกหัดกล้า อยากให้ลูกหายกลัว ก็บอกลูก "ถ้าไม่ต่อสู้กับความกลัว เราก็จะพลาดสิ่งดีๆไปนะ" ว่าแล้วก็โชว์ให้ดู 1 รอบ เห็นมั้ยไม่น่ากลัวเลย แค่มือจะด้านเท่านั้นเอง แกล้งพูดตลกๆให้ลูกหัวเราะ เพราะเคลี่เป็นสาวน้อยที่รักสวยรักงามสุดๆ...ที่ไหนได้ สักพัก ข้อมือเจ็บแปล๊บเลยล่ะค่ะ กลับมาบ้าน ลูกสาวเลยบอกว่า แม่คะ หนูขอบคุณแม่นะคะที่ทำให้หนูไม่กลัว แต่มือแม่เจ็บเนี่ย เดี๋ยวหนูไปเอาน้ำแข็งมาประคบให้นะคะ....แล้วแถมยังกำชับว่า ห้ามหม่ามี้ทำอะไรนะ ให้แด๊ดดี้ล้างจานก็ได้วันนี้ ฮาๆ เจ็บข้อมือ แต่ก็คุ้มนะ ได้สอนลูกให้กล้าขึ้น(แล้วก็ได้นั่งสบายๆไม่ต้องล้างจาน) ชื่นใจลูกสาวจังเลย เชื่อว่าคุณแม่ๆก็คงมีเรื่องราวน่ารักๆของลูกๆให้ชื่นใจแบบนี้เช่นกัน :)

                                    

โอเค เข้าเรื่องเวิร์คเอาท์นะคะ 2 อาทิตย์นี้ เราจะเทรน กล้ามเนื้อกรุ๊ปย่อยๆ การเทรนแบบนี้ ข้อดีคือ เราได้โฟกัสกล้ามเนื้อกรุ๊ปนี้ได้เต็มที่ สร้างความแข็งแรงให้กับจุดอ่อน(weakness)
มีใครได้วัดสัดส่วน หรือถ่ายรูปเก็บไว้เป็นตัววัด progress บ้างมั้ยคะ ตรงนี้สำคัญมากๆ อย่าเอาตาชั่งวัดอย่างเดียว เพราะโปรแกรมนี้ เรายกน้ำหนัก ร่างกายสร้างกล้ามเนื้อขึ้นมา น้ำหนักเราจะอาจจะไม่ลด หรือลดน้อย แต่สิ่งที่เรามองไม่เห็นก็คือ ไขมันมันละลายหายไป ตัวเราจะเล็กและดูเฟิร์มมากขึ้น บางที เราเห็นตัวเองในกระจกทุกวัน มันชินตา รูปถ่าย มันเป็นตัววัดได้ดีนะคะ

วันที่ 1 จะเป็นการเทรนกล้ามเนื้อขาโดยเฉพาะ ทั้ง Quadriceps(กล้ามเนื้อขาด้านหน้า), Hamstring(กล้ามเนื้อขาด้านหลัง), Glutes( กล้ามเนื้อก้น/บั้นท้าย) , Calf (กล้ามเนื้อน่อง)และ เดินบนเทรดมิลล์ระดับ Incline 25 นาที หรือใครจะใช้การเดินเร็ว เดินขึ้นเนิน วิ่งจ็อกกิ้งก็ได้เช่นกัน

Week 7- Week 8
Day 1 : Legs + Cardio 25 minutes Incline Walk
Day 2 : Chest & Triceps + Cardio เหมือนวันที 1
Day 3 : Back & Biceps +  Cardio เหมือนวันที่ 1
Day 4 : Shoulders,Abs & Calves + Cardio HIIT 20 minutes
Day 5- Day 7 : Rest...stay active !!

อุปกรณ์ที่ต้องมี
1. Barbell/ Dumbbells หรือ กระเป๋าใส่ของหนักๆ กระเป๋าsandbag ขวดน้ำ ขวดน้ำยาซักผ้า
2. สมุดจด, ปากกา, นาฬิกาจับเวลาตอนพัก, น้ำดื่ม

Exercise : Legs

1. Back Squats/DB Squats
2. Alternating Side Lunge
3. Single Leg Extension/Single Leg Squats
4. Exercise Ball Hamstring Curls
5. Leg Press/ Lunges
6. One-Leg Wall Sit
7. *Calf Raises ( Bodyweight only)

คำอธิบาย
แต่ละท่า จะทำทั้งหมด 3 เซ็ท 1 เซ็ท ให้ทำตามจำนวนครั้งตามที่ท่านั้นระบุไว้ เมื่อทำครบ 1 เซ็ท ให้พัก 60 วินาทีระหว่างเซ็ท แล้วเริ่มเซ็ทที่ 2 ทำจนครบ 3 เซ็ท จึงเริ่มท่าถัดไป
* ยกเว้นท่าที่ 7 จะไม่มีพักระหว่างเซ็ท แต่ให้ทำท่า Plank Hold ค้างไว้ 30 วินาที แล้วเริ่มเซ็ทที่ 2 *

1. Back Squats/DB Squats ทำ 3 เซ็ท เซ็ทละ 12 ครั้ง
ท่านี้จะทาร์เก็ทกล้ามเนื้อ Quad โดยตรง แล้วยังได้กล้ามเนื้อ hamstring,calves แล้วก็ glutes ด้วยเช่นกัน สำหรับคนที่ทำที่บ้าน ไม่มีบาร์เบลล์ สามารถทำเป็น Dumbbell Squats ได้นะคะ ไม่มีดัมเบลล์ ให้ก็ขวดน้ำใหญ่ๆ 2 ขวด เมื่อก่อนตอนแอนไม่มีดัมเบลล์ จะเก็บขวดน้ำแกลลอน ไม่ก็ขวดน้ำยาซักผ้าขวดใหญ่ๆที่ใช้หมดแล้ว เติมน้ำเข้าไป ปิดฝาให้แน่น ใช้แทนดัมเบลล์ได้เช่นกันค่ะ

วิดีโอสาธิต กดคลิกเลือก Male/Female ได้นะคะ
http://www.bodybuilding.com/exercises/detail/view/name/dumbbell-squat



2. Alternating Side Lunge 3 เซ็ท 1เซ็ท ทำข้างละ 15 ครั้ง
ท่านี้จะทาร์เก็ต Quad โดยตรง นอกจากนี้เราจะได้ส่วนของกล้ามเนื้อ hamstring และ lower back ด้วยค่ะ สามารถเพิ่มความยากได้โดยใช้น้ำหนักเพิ่มเข้ามา เช่นดัมเบลล์, บาร์เบลล์


3. Single Leg Extension/Single Leg Squats  3 เซ็ท 1 เซ็ท ทำข้างละ 12 ครั้ง
คนที่ออกกำลังกายที่บ้าน จะทำท่า Single Leg Squats แทน Single leg extension นะคะ ท่านี้ ใช้เก้าอี้แทนตัว steps ในคลิปสาธิต อาจจะหาเก้าอี้มาวางไว้ด้านข้าง จับเพื่อช่วยการทรงตัว ที่สำคัญคือ น้ำหนัก ให้ลงทั่วๆเท้า เวลายืนขึ้น ให้บีบกล้ามเนื้อก้นด้วยทุกครั้งค่ะ


4. Exercise Ball Hamstring Curls 3 เซ็ท เซ็ทละ 15 ครั้ง

 
 
5. Leg Press/Lunges 3 เซ็ท เซ็ทละ 12 ครั้ง

นั่งหาข้อมูลอยู่นานว่า จะแทน Leg Press ด้วยท่าไหนดี เพราะท่าแรก เราทำ squat ไปแล้ว ก็ได้ข้อสรุปจาก livestrong.com ว่า สามารถแทนได้ด้วยท่า Lunge
เนื่องจากทำข้างละ 12 ครั้ง ตรงนี้ bodyweight อาจจะง่ายเกินไปสำหรับบางคน เพราะฉะนั้นเพิ่มดัมเบลล์เข้ามาได้ค่ะ
                             
6. One-Leg Wall Sit 3 เซ็ท 1 เซ็ท ค้างไว้ข้างละ 30-45 วินาที
ท่านี้จะเหมือนกับท่า Wall Squat/Wall Sit ของวีคที่ผ่านมา แต่ว่า เราจะยกขาข้างนึงพาดขาข้างที่ทำ squat ไว้(เหมือนเป็นเลข 4)  ดังนั้นน้ำหนักทั้งหมดจะถ่ายไปอยู่ข้างที่ squat อยู่

 
 
7.  Calf Raises(Bodyweight only) 3 เซ็ท เซ็ทละ 25-40 ครั้ง + ต่อด้วยท่า Plank Hold 30 วินาที ไม่มีพักระหว่างเซ็ทนะคะท่านี้*
ท่านี้ สาวๆทั้งหลายไม่ต้องกลัวนะคะว่า ทำแล้วน่องจะโต น่องจะไม่โต ไม่ปูด เพราะเราใช้แค่น้ำหนักตัว และทำเป็น high reps
 
                               
 
หมดแล้วค่ะสำหรับวันนี้ ไม่มี Abs exercise นะคะวันนี้ แต่อย่าลืม ทำคาร์ดิโอ 25 นาที อย่างที่อธิบายไว้ด้านบน Cardio+Weight training จะช่วยสปีด fat loss นะคะ :)
 
            

ขอให้สนุกกับการเทรนค่ะทุกคน

แอน

ติดตามอัพเดทของบล็อกได้ทาง Drop Dead Healthy Facebook Page

Monday, September 24, 2012

Success Story from Mira กว่าจะวิ่งได้ 10K

สวัสดีค่ะ

วันนี้แอนมีประสบการณ์ของมีร่ามาให้เพื่อนๆอ่านนะคะ

กว่าจะวิ่งได้ 10k
ขอแชร์ประสบการณ์ที่ผ่านมาเกือบครึ่งทางนะคะ เพราะแอนเป็นแรงบันดาลใจเริ่มต้นในการออกกำลังกายแบบจริงจัง เป็นคนหุ่นอวบๆ แบบนี้มาต้ังแต่ใหนแต่ไรนะคะ เคยพยายามลดน้ำหนักหลายรอบ แต่ก็ไม่ได้จริงจังขนาดน้ี รอบนี้จริงจังที่สุดแล้ว
เริ่มต้นที่คุยกะแอนประมาณปลายมีนา แอนแนะนำเวิร์คเอาท์หลายตัว ตอนนั้นไปพักผ่อนที่ฟลอริดา เลยเริ่มต้นด้วยการวิ่ง วันแรกว่ิงได้ไม่ถึงไมล์นะคะ แต่เพราะความต้ังใจจริงๆ คราวนี้ก็เลยวิ่งทุกวัน
อาทิตย์แรก 1 ไมล์ วิ่งมั่งเดินมั่ง
อาทิตย์ที่ 2-3 เริ่ม 2 ไมล์
อาทิตย์ที่ 4 เริ่ม 3 ไมล์
หลังจากน้ันก็วิ่งระหว่าง 2-3 ไมล์

ผ่านไป 3 เดือนน้ำหนักลงแค่ 5 พาวน์เอง ทำบอดี้เวทด้วยนิดหน่อย แอบท้อนะ ที่น้ำหนักไม่ลงเยอะเหมือนคนอ่ืน
ที่ลงไม่เยอะเพราะ เป็นคนชอบกิน และชอบทำอาหาร แถมต้องทำอาหารเลี้ยงแขกบ่อยๆ อันนี้เป็นข้ออ้างอ่ะเนอะ แต่ไม่ทานฟาสฟูดนะคะ ไม่ชอบส่วนตัว
ไม่ทานน้ำอัดลมมานานนนมาก เพราะท้องไม่ดี ทานข้าวกล้อง ผัก ปลา เป็นปรกติ เลยไม่รู้จะตัดอะไรออกดี (ข้ออ้างอีกแระ) แถมระบบเผาผลานต่ำกว่าปรกติ กำลังจะไปเช็คไทรอยน์ด้วย

เดือนที่ 4 กลับจากพักผ่อน ก็ลุยงานสังคม เยอะมากก งานแต่ง งานวันเกิด ไม่ได้วิ่งเลย แถมทานเยอะอีก

เดือนที่ 5 เพ่ือนกลุ่มที่เคยทำ crossfit ด้วยกันรวมตัวกันอีกรอบ ทำ ครอสฟิต 3 วันต่ออาทิตย์ พร้อมทั้งมีกลุ่มเทรนว่ิงสำหรับนักวิ่งมือใหม่ สอนวิ่งแบบอาสาสมัคร ไม่ได้ค่าจ้างนะคะ เลยไปหัดวิ่งแบบถูกวิธีจากนักวิ่งมาราธอนหลายคน ว่ิง สามวันต่ออาทิย์ แต่มีหน่ึงวันตรงกับครอสฟิตเลยกลายเป็น วิ่ง 3 วัน ครอสฟิต 2 วัน พัก 2 วัน แต่บางทีฮึดๆ วันอาทิตย์ก็ไปวิ่งเองกับเพ่ือน

มาถึงการเทรนวิ่งที่เค้าเทรน จะแบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มคนไม่เคยวิ่งเลย (เทรนให้วิ่ง 5k ) และเคยวิ่งมาแล้ว (เทรนว่ิง 10k)
ตอนแรกปอดแหกกลัวว่ิงไม่ไหวเลยไปจอยกลุ่มคนไม่เคยวิ่งเลย วันแรก เดิน 3 นาที วิ่งเหยาะๆ 1 นาที สลับแบบน้ีไปจนครบ 2 ไมล์ รู้สึกว่าตัวเองวิ่งได้มากกว่านั้นเลยเปลี่ยนกลุ่มไปเทรน 10k

กลุ่มเทรน 10k นี่วิ่งตลอดไม่หยุดเดินนะคะ วันแรก 3 ไมล์เลย แต่เค้าห้ามวิ่งเร็ว พอครบสามไมล์ไม่เหนื่อยเลย เพราะไม่ได้วิ่งเร็วจนหายใจไม่ทัน
เดือนแรกที่เทรน วิ่งระหว่าง 3-4 ไมล์ ยังวิ่งแบบสบายๆ ไม่เร็ว
3 อาทิตย์หลัง เพิ่มมาเป็น 4-6 ไมล์และเริ่มวิ่งเร็ว คร่ึงไมล์สลับกับวิ่งปรกติ

ผ่านไปเดือนครึ่งที่เทรนก็จะวิ่งเร็วขึ้นเองโดยไม่รู้ตัว
อ้อคนที่ไม่เคยว่ิงเลย เห็นอาทิตย์สุดท้ายที่เทรนเค้าก็วิ่งกันได้ 2-3 ไมล์นะคะ

วันน้ีเป็นวันวิ่ง วิ่ง 10k ทำเวลาไป 59นาที ซึ่งดีกว่าตอนซ้อมตั้ง 12 นาที (แอบดีใจ :))
                                    

มาถึงน้ำหนัก ไอ้ที่ลงไป 5 พาวน์น้ันหลังจากเล่น crossfit มันก็เด้งกลับมาอ่ะ แอบใจเสีย แต่มีคนทักว่าผอมลงแฮะ ลงสัยไขมันหาย กล้ามมาแทน เลยไม่ได้สนใจตัวเลขบนตาช่ังแบบบ้าคล่ังเหมือนเมื่อก่อน



                               

ตั้งเป้าไว้ 1 ปีสำหรับการผอม ตอนนี้จะเพิ่มยกเวทมากกว่าเดิม ก็ต้องพยายามต่อไป ถึงวันนั้นจะได้มี before-after สวยๆ มาฝากนะคะ
ขอบคุณท่ีอ่านจบ. ยาวมากก


                                   
ขอบคุณมีร่ามากๆที่สละเวลาเล่าประสบการณ์ดีๆสู่กันฟัง ใครที่ชอบวิ่ง คงจะได้เกร็ดความรู้ไปบ้างนะคะ ตัวแอน จะวิ่ง/เดินตอนเช้าๆวันละ 30 นาที ไม่เคยได้นับว่ามันกี่ไมล์ แต่ยอมรับกว่า แรกๆเหนื่อย ปวดขาไปเลย เพราะไม่ชินกับการวิ่ง แม้ว่าจะออกกำลังกายเป็นประจำ คนที่วิ่งได้ 10K นี่เก่งมากๆ นับถือมีร่าจริงๆ :)

สำหรับเรื่องน้ำหนัก รูปมีร่าเป็นตัวบ่งบอกทุกอย่างนะคะ  สวยสุขภาพดีมากๆ :) เคยเขียนไปหลายทีแล้ว และก็จะย้ำอีกที ตัวเลขไม่ได้บ่งบอกถึงการประสบผลสำเร็จ การมีสุขภาพดี ความแข็งแรง หรือสมรรถภาพทางการกีฬาของเรา  ออกกำลังกายเพื่อสุขภาพนะคะทุกคน
                               

ขอบคุณที่ติดตามค่ะ

แอน

Core Melting Abs Workout มาบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้องกันค่ะ

สวัสดีค่ะ


เวิร์คเอาท์วันนี้ จัดตามที่คุณ Nida รีเควสมานะคะ ขอมาตั้งแต่อาทิตย์นู้น แอนเพิ่งจะได้นั่งตัดต่อเมื่อวานนี่เอง อีกอย่าง อยากจะอธิบายความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกล้ามเนื้อกรุ๊ปนี้ สามารถอ่านได้ที่บล็อก Abdominal Anatomy

เวิร์คเอาท์นี้เป็นท่าเกี่ยวกับการบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้อง(abs)และกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว( core muscles) ค่ะ


   
ปรกติแอนจะทำ abs workout หลังจากยกเวทเสร็จ และจะทำวันเว้นวัน ไม่ได้ทำทุกวัน ในความคิดส่วนตัวแล้วก็จากประสบการณ์ กล้ามเนื้อหน้าท้องก็เหมือนกับกล้ามเนื้อส่วนอื่นๆของร่างกาย ถ้าเราไม่ได้เทรนกล้ามเนื้อส่วนนี้ทุกวัน เราก็ไม่จำเป็นต้องเล่นกล้ามเนื้อหน้าท้องทุกวัน ทั้งนี้เพื่อให้กล้ามเนื้อได้พัก ฟื้นฟู และมีการเจริญเติบโต

อีกอย่าง หลายๆคนมักจะทำซิทอัพทุกวัน ทำเช้า-ก่อนนอน เพราะเชื่อว่า การซิทอัพ จะช่วยลดหน้าท้อง เอวเล็กลง ...ความคิดนี้ไม่ถูกต้องนะคะ การทำซิทอัพ เป็นการบริหารกล้ามเนื้อ ไม่ใช่ลดสัดส่วนลดไขมัน ไม่มีท่าออกกำลังกายท่าไหนที่จะช่วยลดเฉพาะส่วน
( spot reducer) ไขมันในร่างกายเรา เมื่อลด จะลดเท่าๆกันทุกส่วน ไม่ลดส่วนใดส่วนหนึ่ง การลดไขมัน จะเห็นผลดีก็ต่อเมื่อ เราออกกำลังกายแบบ Streng training( ยกเวท หรือทำ bodyweight) , ทำคาร์ดิโอ ควบคู่กับการดูแลเรื่องโภชนาการ พูดสั้นๆง่ายๆ ก็คือ อยากลดหน้าท้อง ลดต้นขา ก็ยกเวทอาทิตย์ละ 3-4 วัน ทำคาร์ดิโอ และทานอาหารที่เป็นประโยชน์

อุปกรณ์ที่ต้องมี
1. สมุดจด ปากกา
2. นาฬิกาจับเวลา
3. Medicine ball หรือดัมเบลล์ หรือของใกล้ตัวที่หนักพอ
4. Exercise ball (optional)

คำอธิบาย

Keep your abs tight ตลอดทุกๆท่า หายใจเข้า ออกตามปรกติ ห้ามกลั้นหายใจ
เวิร์คเอาท์นี้ ทำแค่ 1 รอบเท่านั้น ดังนั้นตั้งใจทำนะคะ ไม่มีรอบสองให้แก้ตัว :) พักระหว่าง exercise ให้สั้นที่สุด
* ถ้าไม่ได้ออกกำลังกายก่อนทำเวิร์คเอาท์นี้ ให้วอร์มอัพ 5 นาที *



Exercise
1. Plank Hold 60 Seconds
2. Abs Sprinter 30 reps ท่านี้ ถ้าคนที่ไม่มีความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวพอ อาจจะทำไม่ได้ ทำโมดิฟายท่าตามในคลิปสาธิตนะคะ
3. Medicine Ball Slide 30 reps
4. Super Girl Plank 30 reps
5.Russian Twist 50 reps
6.Slow Scissors 30 reps ท่านี้ หลังส่วนล่าง(Lower back) จะต้องให้ติดพื้นตลอดเวลา อย่าแอ่นหลัง เพราะจะเสี่ยงต่ออาการบาดเจ็บได้
7. Side V- Crunch 30 reps each side
8. Butt Lift 30 reps
9. Exercise ball reach 30 reps

วิดีโอสาธิต แอนได้สาธิตแต่ละท่าสำหรับ Beginners ไว้ด้วย ศึกษาท่าแต่ละท่าก่อนทำเวิร์คเอาท์นะคะ


ถ้าได้ลองแล้ว ทิ้งฟี๊ดแบ็กทั้งข้อเสนอแนะ ข้อติชมไว้ได้นะคะ แอนจะเอาเวิร์คเอาท์สำหรับการบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้องมาลงอีก เพราะท่าจะเปลี่ยนทุกๆครั้ง

ขอบคุณที่ติดตามค่ะ

แอน

ติดตามอัพเดทของบล็อกได้ทาง Drop Dead Healthy Facebook Page

Abdominal Muscle Anatomy เรียนรู้เกี่ยวกับกล้ามเนื้อหน้าท้อง

สวัสดีค่ะ

ก่อนที่เราทำเริ่มออกกำลังเกี่ยวกับท่าบริหารหน้าท้อง เรามาดู กายภาพของกล้ามเนื้อหน้าท้องกันว่า มีอะไรบ้าง และกล้ามเนื้อนี้ทำหน้าที่อะไร :)
                                 
แอนจะใช้คำอธิบายง่ายๆนะคะ ไม่เป็นวิชาการมากเกินไป :)

กล้ามเนื้อหน้าท้องด้านหน้า Anterior Abdominal Wall

จะเป็นกล้ามเนื้อที่เราๆมักนึกถึงเวลาเราพูดถึง 6- pack abs กล้ามเนื้อกลุ่มนี้ มีทั้งหมด 4 ชุด

Rectus abdominis :  กล้ามเนื้อด้านหน้าที่เราจะเห็นเป็น 6-pack มีหน้าที่ดึงลำตัวก้มลง โดยอยู่ระหว่างกระดูกซี่โครงและกระดูกหัวหน่าว
External oblique : จะอยู่ด้านข้างลำตัวทั้งสอง อยู่ใต้ผิวหนัง กล้ามเนื้อนี้จะอยู่ระหว่างด้านหลังของกระดูกซี่โครงล่างและกระดูกหัวหน่าว มีหน้าที่เหมือนกับ Rectus abdomini และยังมีหน้าที่ดึงเวลาเราเอี้ยวลำตัว ถ้าเรามี bodyfat percentage( bodyfat %) ที่ต่ำ เราจะมองเห็นกล้ามเนื้อตัวนี้ได้อย่างชัดเจน
Internal Oblique : จะอยู่ใต้ External Oblique เนื่องจากล้ามเนื้อนี้อยู่ลึกและอยู่ใกล้กับ กระดูกสันหลัง( spine) จะมีบทบาทสำคัญในเรื่องช่วยการทรงตัวของกระดูกสันหลังและเชิงกราน
Transverse abdominis : เป็นกล้ามเนื้อที่อยู่ลึกที่สุดในกล้ามเนื้อชุดนี้ มีหน้าที่ประคองกระดูกสันหลังส่วนล่าง

กล้ามเนื้อหน้าท้องส่วนด้านหลัง Posterior Abdominal Wall Muscles

กล้ามเนื้อกลุ่มนี้จะอยู่ผนังด้านหลังของท้อง มี 4 ชุดเช่นกัน

Iliasus เป็นกล้ามเนื้อที่ติดกับกระดูกเชิงกรานด้านในและกระดูกต้นขา(femur) ทำหน้าที่หลักๆในการยกขาเพื่อเคลื่อนที่ไปข้างหน้าและด้านบน กล้ามเนื้อนี้ยังเป็นกล้ามเนื้อหลักใน Hip flexors(กล้ามเนื้องอสะโพก)

Psoas Major ทำหน้าที่เหมือนกับกล้ามเนื้อ Iliasus คือช่วยให้เรางอต้นขา หุบ และหมุนเข้าด้านใน กล้ามเนื้อนี้จะยึดติดกับกระดูกสันหลังส่วนบั้นเอวไล่ไปจนถึงกระดูกต้นขา

Quadratus Lumborum เป็นกล้ามเนื้อรูปสี่เหลี่ยม ตั้งอยู่เบื้องหลังของท้องตรงบั้นเอว ทำหน้าที่ช่วยพยุงเชิงกรานให้มั่นคง ช่วยในการก้มและเงยหลัง ในท่าออกกำลังกายเช่น side bend หรือ side plank กล้ามเนื้อนี้จะมีบทบาทสำคัญมากๆ

Psoas Minor กล้ามเนื้อนี้ไม่ได้อยู่ในรูปแต่จะระบุว่าเริ่มต้นและจบที่ตรงไหน กล้ามเนื้อนี้มีขนาดเล็ก จะทำงานร่วมกับ Psoas Major และสะโพก เพื่อทำให้เกิดการเคลื่อนไหวของช่วงกลางลำตัว ซึ่งก็คือหน้าท้องและก้น โดยจะเน้นไปทางการยืดตัวหรือขยายตัว

สรุปนะคะ กล้ามเนื้อผนังหน้าท้องทั้งด้านหน้าและด้านหลัง มีความสำคัญพอๆกัน ไม่ควรละเลยกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเด็ดขาด เพื่อที่จะร่างกายเราจะได้เคลื่อนไหว และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น การบริหารหน้าท้อง มันมีมากกกว่าการทำซิทอัพ :)

หวังว่าบล็อกนี้คงจะให้ความรู้เบื้องต้นของความสำคัญและหน้าที่หลักของกล้ามเนื้อหน้าท้องก่อนที่เราจะเริ่มออกกำลังกายเกี่ยวกับกล้ามเนื้อกลุ่มนี้นะคะ

ขอบคุณที่ติดตามค่ะ

แอน

ติดตามอัพเดทของบล็อกได้ที่ Drop Dead Healthy Facebook Page




Wednesday, September 19, 2012

12-Week Lifting Program Week 5-Week6, Day 2&Day4

สวัสดีค่ะ

ก่อนอื่น ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ติดเวิร์คเอาท์ตัวนี้ไว้ จริงๆต้องลงตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว แต่ตัวโปรแกรมตัดต่อมีปัญหา ทำๆอยู่แล้วมันหลุดบ่อยมาก เลยไม่ได้ทำประติดประต่อให้เสร็จซะที
อีกอย่างลูกเพิ่งเปิดเทอม อะไรๆมันก็ยังไม่ลงตัวเท่าไหร่ ตอนนี้แอนเปลี่ยนตารางออกกำลังกาย(ของตัวเอง) มาเป็นช่วงเช้า ก่อนหน้านี้ตอนลูกสาวปิดเทอม จะทำตอนเย็นช่วง 5 โมงครึ่ง หลังจากสามีออกไปทำงาน จัดการให้เด็กๆทานข้าวเย็นให้เรียบร้อย แล้วแอนก็ออกกำลังกาย ตอนนี้เคลี่ลูกสาวคนโตขึ้นป. 1 การบ้านก็เริ่มมีเพิ่มขึ้น ตอนเย็นก็เปลี่ยนมาเป็นเวลาที่ใช้กับลูกๆ สอนการบ้านลูก อ่านหนังสือก่อนนอน...บางทีอยากนึกให้เวลามันมีมากกว่า 24 ช.ม.นะคะ แต่มันเป็นไปไม่ได้ :)  แอนไม่ทิ้งเรื่องการออกกำลังกายอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นจึงเปลี่ยนมาออกกำลังกายตอนเช้าแทน เข้านอนเร็วกว่าปรกติ 1 ช.ม.(ไม่เกินเที่ยงคืน) ตื่นเช้ากว่าเดิม ออกกำลังกาย ให้เรียบร้อย...มันก็ไม่ได้ยากอย่างที่คิดนะคะ แอนเชื่อว่า ทุกอย่าง ถ้าเราตั้งใจจริง มี commitment กับสิ่งนั้นจริง เราต้องสรรหาวิธีทางได้

โอเค เข้าเรื่องเวิร์คเอาท์ อาทิตย์ 5 และ 6 จะยังเป็น Split body parts นะคะ คือแบ่งเล่น upper body กับ Lower body คนละวัน สำหรับแอน ชอบการเทรนแบบนี้ เพราะวันนึง เราเน้นเล่นกล้ามเนื้อส่วนนี้ วันรุ่งขึ้น จะเล่นอีกส่วนนึง กล้ามเนื้อกรุ๊ปที่เล่นไปเมื่อวาน จะได้มีเวลาพัก ฟื้นฟู ซ่อมแซม และมีการเจริญเติบโต แอนเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ ที่ บล็อกนี้ อ่านเพิ่มเติมได้ค่ะ

ตาราง Week 5 & Week 6

Day 1 : Upper Body+ Incline Walk 20 นาที ปรับเทรดมิลล์ให้อยู่ในระดับ incline หรือจะทำเป็นเดินเร็ว เดินขึ้นเนิน ได้เช่นกัน
Day 2 : Lower Body
Day 3 : Upper Body + Incline Walk 20 นาที เหมือนวันที่ 1
Day 4 : Lower Body + HIIT 15 mins *
Day 5 : Rest
Day 6 : Rest
Day 7 : Rest

HIIT คือการเทรนแบบไหน อ่านได้ที่ บล็อกนี้  แอนได้ทำเวิร์คเอาท์แบบ HIIT ด้วยนะคะ สามารถทำหลังยกเวทได้ ลองดูBodyweight HIIT ค่ะ

Day 2 & Day 4 Lower Body

Warm-up  5-10 นาที Glute activation drills

1. Front Squat w/ BB,DB,Sandbag  
2. Bench Step over or
    Side Lunge Jump                         
3. Single Leg Deadlift w/ BB,DB, Sandbag  
4. Hip Thrusts                                
5. Wall Squats   
6. Reverse Alternating Lunges    
7. Plank Hold   

Cool down  5-10 นาที Lower body stretching
* BB= Barbell, DB= Dumbbell(s),

คำอธิบาย
แต่ละท่าจะทำทั้งหมด 3 หรือ 4 เซ็ท(sets) ตามที่ท่านั้นระบุไว้ 1 เซ็ท ให้ทำตามจำนวนครั้ง(reps) ที่ท่านั้นกำหนด เมื่อทำครบ 1 เซ็ท ให้พัก 60 วินาที แล้วจึงเริ่มเซ็ทที่ 2 ทำแบบนี้ให้ครบ 3 เซ็ท จึงเริ่มท่าถัดไป

1. Front Squats with BB,DB, Sandbag ทำทั้งหมด 3 เซ็ท เซ็ทละ 12 ครั้ง พัก 60 วินาทีระหว่างเซ็ท
สำหรับคนที่ไม่มีดัมเบลล์ หรือหาของใส่กระเป๋าไม่ได้ ใช้ขวดน้ำยาซักผ้าขวดใหญ่,ขวดน้ำ,ขวดนม,น้ำผลไม้...อะไรก็ได้นะคะที่มีอยู่ใกล้ตัว



2.Side Lunge Jump ทำ 3 เซ็ท เซ็ทละ 30 ครั้ง(นับรวมกันนะคะ ข้างละ 15x2 =30) พัก 60 วิ ระหว่างเซ็ท
แอนปรับท่า Bench Step Over ให้เป็นท่านี้แทน เพราะคิดว่าส่วนมาก ที่บ้านคงไม่มีม้านั่งแบบที่ยิมน่ะค่ะ ท่านี้ถือเป็นคาร์ดิโอได้เช่นกัน
ป.ล. เนื้อที่จำกัดมากวันนี้ เลยเป็นอย่างที่เห็นนี่ล่ะค่ะ แอนไม่สามารถยืดขาได้สุด...ถ้าตอนเพื่อนๆทำ เหยียดขาให้ตรงนะคะ อย่ายืนใกล้กำแพง :)




3. Single Leg Deadlift ทำ 3 เซ็ท ใน 1 เซ็ท ทำข้างละ 20 ครั้ง พัก 60 วินาทีระหว่างเซ็ท



ท่านี้จะเป็น High reps เพราะเราทำทั้งหมดข้างละ 20 ครั้ง ดังนั้น เลือกน้ำหนักไม่ต้องหนักมาก ถ้าทำไปแล้ว รู้สึกหลังส่วนล่าง( lower back) เริ่มมีอาการเมื่อยๆ ให้เช็คฟอร์มนะคะ ว่า
1. หลังเราเป็นเส้นตรง หรือว่าโค้งหลังตอนที่ลดดัมเบลล์ลง
2. ลดดัมเบลล์ต่ำไปหรือเปล่า
3. หน้าท้องเรา engaged ตลอดเวลามั้ย
4. ถ้า 3 ข้อด้านบนผ่าน แสดงว่าเวทเราหนักเกินไป ให้เลือกน้ำหนักเบาลงนะคะ จะได้ไม่เกิดอาการบาดเจ็บ


4. Hip Thrust ทำ 3 เซ็ท เซ็ทละ 15 ครั้ง พัก 60 วินาทีระหว่างเซ็ท
ท่านี้ แอนได้ไอเดียมาจาก Erin Stern ในนิตยสาร Muscle & Fitness Her
และจะคล้ายกับท่าโยคะ นอกจากเราจะได้กล้ามเนื้อขาและก้นแล้ว เรายังได้ฝึกความแข็งแรงของแขนด้วยนะคะ นี่เป็นเหตุผลที่แอนชอบ bodyweight exercises :)





5. Wall Squats ทำ 4 เซ็ท เซ็ทละ 40 วินาที พัก 60 วินาทีระหว่างเซ็ท
เหมือนของอาทิตย์ที่ 3&4 แต่ว่า เพิ่มระยะเวลาเป็น 40 วินาที ถ้าอาทิตย์ที่แล้ว เพื่อนๆไม่ได้สามารถ squat ให้ต้นขาขนานกับพื้นได้ อาทิตย์นี้ลองดูว่าเราสามารถsquat ให้ต้นขาขนานกับพื้นได้หรือปล่าว...



6. Reverse Alternating Lunges ทำ 3 เซ็ท เซ็ทละ 30 ครั้ง(สลับข้างกันทุกครั้ง) พัก 60 วินาทีระหว่างเซ็ท




7. Plank Hold ทำ 3 เซ็ท เซ็ทละ 45-60 วินาที พัก 60 วินาทีระหว่างเซ็ท





หมดแล้วค่ะ ทำเสร็จอย่าลืมยืดเส้นคลายกล้ามเนื้อนะคะ อาจจะทำโยคะตอนนี้ก็ได้ ผ่อนคลายดี มาถึงอาทิตย์นี้แล้ว เริ่มรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นหรือยังคะ:)
         

มีข้อสงสัย แนะนำ ติชม สามารถโพสท์คอมเม้นท์ไว้ได้นะคะ

ขอบคุณที่ติดตามค่ะ

แอน

ติดตามอัพเดทของบล็อกได้ทาง Drop Dead Healthy Facebook Page



Roasted veggies...ผัก จะไม่น่าเบื่ออีกต่อไป

สวัสดีค่ะ

วันนี้มีสูตรอาหารอร่อยๆมาฝาก หลายๆคนที่ทานอาหารเพื่อสุขภาพ หรือว่าต้องการลดน้ำหนัก พวกผัก ถ้าไม่ทานสดๆ ก็คงจะนึ่ง หรือผัดกับน้ำมันมะกอก ใช่มั้ยคะ
เมื่อก่อนมาที่นี่ใหม่ๆ ผักดอกกะหล่ำ(cauliflowers) ที่นี่ มันไม่เหมือนบ้านเราล่ะ บ้านเรา สีเหลือง กรอบอร่อย ที่นี่มันเป็นสีขาวๆ เคยเอาไปผัด ไม่อร่อยเลย นิ่มๆเละๆ เอาไปนึ่ง ก็จืดชืด เบื่อมาก ถ้าใส่พวกแกงส้ม แกงเหลือง ก็ยังพอไหว

ลองเปิดสูตรในเน็ต ก็เจอกับสูตรผักอบ ลองทำดู อร่อยมากกก ดอกกะหล่ำที่ว่าจืดชืด พอมาอบนะคะ มันทำให้มีรสหวาน กลิ่นหอมหวล คุณพ่อบ้าน ขนาดไม่ชอบผักอันนี้ ได้ลองสูตรผักอบนี่ ติดใจเลยล่ะค่ะ ฮา โม้ๆๆ

  

ทำง่ายๆนะคะ แอนมักจะอบถาดใหญ่ๆ เหลือไว้กินได้อีก 2-3 มื้อ

ส่วนประกอบ
ผักดอกกะหล่ำหั่น (แอนใช้ครึ่งหัวใหญ่)
Butternut squash (คล้ายๆฟักทองบ้านเรานะคะ แต่เนื้อร่วนกว่า) หั่นสี่เหลี่ยม 1 ถ้วย
แครอท หั่นตามขวาง 2-3 หัว
มันหวาน 1 หัว ปอกเปลือก หั่น
หอมใหญ่ 1 หัวเล็กๆ หั่นสไลด์
กระเทียมสับ 4 กลีบ
หอมญี่ปุ่น(ไฮไลท์ของจาน) 1 ก้าน(เรียกถูกมั้ย) หั่น
น้ำมันมะกอก เกลือ พริกไทย

วิธีทำ
1. วอร์มเตาอบไว้ที่ 425 F
2. ผัก ล้างให้สะอาด หั่นใส่ถาดอบ คลุกเคล้าด้วยน้ำมันมะกอก แอนใช้อัตราส่วน ผัก 4 ถ้วย/น้ำมันมะกอก 1 ช้อนโต๊ะ
4. โรยเกลือ พริกไทย คลุกเคล้าให้เข้ากันอีกที
5. พอเตาอบร้อนได้ที่ เอาเข้าอบ ประมาณ 30 นาที โดยที่ 15 นาที เอาออกมาคนๆ จะได้สุกทั่วๆกัน

เรียบร้อยแล้วค่ะ อบเสร็จ หอมไปทั้งบ้านเลย หอมญี่ปุ่น( Leek) เอามาอบแบบนี้ อร่อยมากๆๆ

แอนทานกับไก่อบ แล้วก็อโวคาโด้




Enjoy healthy eating!!

แอน

ติดตามอัพเดทของบล็อกได้ทาง Drop Dead Healthy Facebook Page

Thursday, September 13, 2012

Bodyweight Is Rock Workout- HIIT 20 minutes

สวัสดีค่ะ

วันนี้มีเวิร์คเอาท์มาฝาก เป็นการออกกำลังกายแบบ HIIT (High Intensity Interval Training) แอนอธิบายการออกกำลังกายประเภทนี้ไว้ที่บล็อกนี้

ท่าในเวิร์คเอาท์นี้จะเป็น Plyometrics และ Core training . Plyometrics เป็นการออกกำลังกายที่ท่าเน้นการกระโดด ซึ่งเราจะได้ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขา และเป็นคาร์ดิโอในตัว ส่วน Core training ก็เน้นความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ core กล้ามเนื้อหน้าท้อง

ขณะที่นั่งพิมพ์นี่ ก็วันที่ 2 หลังจากออกกำลังกายตัวนี้ไป ขอบอกว่ายังปวดขา ปวดก้น อยู่เลย  ดีที่ว่าได้เดินทุกวันนะคะ วันนี้ปวดน้อยหน่อย แต่ว่าบ่ายๆจะทำโยคะยืดเส้นกล้ามเนื้อ ขา และหลัง เพราะรู้สึกมันตึงๆ


สิ่งที่ต้องมี...แค่

1. สมุดจด Workout Journal และปากกา
2. นาฬิกาจับเวลาแบบ Interval Timer ใครไม่มี Gymboss สามารถโหลด Apps ได้นะคะ หรือใช้จากอินเตอร์เน็ตก็ได้เช่นกัน
3. น้ำดื่ม

Workout
1. Snowboarder/ 180 Jump
2. Reptile Plank
3. 2 Dynamic Squats & 2 Jump Lunges
4. Plank Climbers
5. Knee Hugs

คำอธิบาย

ตั้งนาฬิกาเป็น 2 Intervals นะคะ Interval แรก เป็นเวลาพัก( Rest period) 15 วินาที Interval ที่ 2 ตั้งไว้ 45  วินาที จะเป็น Maximum effort ตั้งไว้ 20 รอบ(Cycles/rounds) ทำเวิร์คเอาท์นี้ซ้ำกัน 4 ครั้ง
* สำหรับคนเริ่มต้น การออกกำลังกายแบบนี้อาจจะยาก เพราะฉะนั้น อย่างที่แอนบอกในคลิปนะคะ
1. เราเพิ่มเวลาพักและลดเวลา Max effort ได้ เช่น ตั้งเป็น พัก 20 วินาที/40 วินาที max effort หรือ พัก 30 วินาที / 30 วินาที max effort *
2. ถ้าทำติดต่อกัน 20 รอบไม่ไหว ให้ แบ่งเป็น 4 รอบเล็กๆ โดยตั้งนาฬิกาเป็น 5 รอบ( cycles/rounds) พอทำเสร็จทั้ง 5 ท่า พัก 1 นาที แล้วทำซ้ำอีก 1-3 รอบ



วิดีโอสาธิต






ตอนที่แอนทำ แค่ 5 นาทีแรก เหงื่อก็เริ่มหยดติ๋งๆแล้วล่ะค่ะ ครบ 20 นาทีนี่ ยังกะไปวิ่งผ่านน้ำมา การเทรนแบบนี้มันสั้นก็จริง แต่หนัก เพราะในช่วง Max effort เราจะทำอย่างเต็มที่ ไม่กั๊ก และมีเวลาพักให้แค่พอจดคะแนนและจิบน้ำนิดหน่อย...อย่าดื่มเยอะนะคะ เดี๋ยวจะจุกเอา

เวิร์คเอาท์นี้ สามารถทำได้หลังจากยกเวท ในวันที่ 4 ของสัปดาห์ที่ 5 และ 6 นะคะ แต่ให้ปรับเป็น 15 นาที (15 rounds)  แทนที่จะเป็น 20 นาที

มีคำถาม ข้อสงสัย โพสท์คอมเม้นท์ไว้นะคะ

ขอบคุณที่ติดตามค่ะ

แอน

Tuesday, September 11, 2012

What is HIIT (High Intensity Interval Training)?? การออกกำลังกายแบบ HIIT คืออะไร

สวัสดีค่ะ :)

วันนี้แอนจะบล็อก/อธิบายเกี่ยวกับการออกกำลังกายในรูปแบบ HIIT หรือ High Intensity Interval Training นะคะ ว่ามันคืออะไร และทำไมการออกกำลังกายแบบนี้ถึงได้ผลดีกับการลดไขมัน(Fat loss) จะพยายามอธิบายอย่างสั้นๆ เข้าใจง่ายนะคะ



ยกตัวอย่างนะคะ เช่นทุกวันๆ เราวิ่งวันละ 45 นาที วิ่งถนนเส้นเดิม หรือถ้าใครวิ่งบนเทรดมิลล์ ก็วิ่งที่ระดับความเร็วแบบเดิม แรกๆเราอาจจะเห็นการเปลี่ยนแปลง แต่เมื่อนานเข้า ความเปลี่ยนแปลงนั้นมันหยุดชะงักเอาดื้อๆ ...ที่เป็นแบบนี้เพราะ การออกกำลังกายที่เราทำอยู่ซ้ำๆแบบเดิมๆ ร่างกายเราจะปรับตัวกับการออกกำลังกายแบบนั้นได้(ร่างกายเราฉลาดนะคะ) แล้วทำให้เผาผลาญแคลอรี่น้อยลง ร่างกายเราไม่ได้ถูกออกแบบให้เผาผลาญไขมันนะคะ แต่ถูกออกแบบสะสมไขมันเก็บไว้เป็นแหล่งพลังงาน


แล้วทีนี้ เราจะทำยังงัยให้ร่างกายเผาผลาญไขมัน ??? เราก็ต้องเล่นทริคกับร่างกายเราล่ะค่ะ :) ที่บอกว่าเล่นทริคนี้ ไม่ใช่เล่นมายากลนะคะ แต่เราจะทริคโดยใช้การออกกำลังกายแบบ High Intensity Interval Training( HIIT)
HIIT คือ การฝึกอย่างหนักหน่วงเป็นช่วงๆ การออกกำลังกายแบบนี้จะเป็นแบบ เร็วสลับช้า(Max effort หรือ Sprint period และ Rest period) โดยจะเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ ให้เพิ่มขึ้น และลดลง เป็นจังหวะๆ ซึ่งจะใช้เวลาตั้งแต่10นาที จนถึง 30 นาที การออกกำลังกายแบบนี้ สามารถใช้ได้ทั้งเครื่องคาร์ดิโอ ไม่ว่าจะเป็น เทรดมิลล์, เครื่องปั่นจักรยาน, Elliptical Trainer, ว่ายน้ำ, วิ่ง , กระโดดเชือก หรือว่าการออกกำลังกายแบบ bodyweight ส่วนตัว แอนชอบ กระโดดเชือก ไม่ก็ Bodyweight :)

ตัวอย่าง HIIT Workout
                                  


วิธีนี้ จะทริคร่างกายของเราใช้ดึงพลังงานออกมาใช้ให้มากที่สุดในช่วงของ Sprint period

การทำ HIIT ให้ได้ผลที่ดีที่สุดนั้น ในช่วง Sprint period เราต้องพุชตัวเองถึง Max effort พูดง่ายๆก็คือ มีแรงเท่าไหร่ ใส่ไปให้หมดในช่วงนั้นล่ะค่ะ  และที่สำคัญ เราต้องสามารถทำsprint ซ้ำได้ ไม่ใช่ว่า รอบแรกก็หมดแรงแล้ว ตรงนี้เราจึงต้องกำหนดเวลา rest period ให้พอ เพราะถ้าเราพักไม่พอ ใช้เวลาพักสั้นเกินไป พอถึงรอบการทำ sprint  เราไม่มีแรงพอ มันก็จะลดประสิทธิภาพของการออกกำลังกายเรา บางครั้ง เราอาจจะตั้ง rest period ให้เท่าๆกับ sprint period หรือว่า อาจจะยาวกว่า...ก็ไม่เป็นไรนะคะ ไม่ผิดกฏ ตราบใดที่พอถึงตอน Sprint เราทำได้อย่างเต็มแรง เต็มที่

แล้วเราจะรู้ได้ยังงัยว่า Max effort เราแค่ไหน ?? ตรงนี้ เครื่องวัดการเต้นของหัวใจ(Heart rate monitor) จะช่วยบอกได้ โดยสามารถคำนวณตัวเลขได้ที่นี่
http://www.freedieting.com/tools/target_heart_rate.htm

สำหรับแอน ใส่ตัวอายุ 31 ลงไป
Interval Training  149 BPM
Light/Recovery    112 BPM
ถ้าใครไม่มีเครื่องวัด ก็ประมาณเอาได้ค่ะ แบบเอาช่วย Sprint Period Intervals ให้มันเหนื่อยๆหน่อย   ช่วงพักก็ผ่อนแรงให้เบามากๆไปเลย

ดังนั้น การออกกำลังกายแบบ HIIT ร่างกายเราจะเผาผลาญแคลอรี่และไขมันได้มากมาย ภายในเวลาสั้นๆ ถ้าคุณเป็นคนที่ต้องการลดน้ำหนัก ลดไขมัน แล้วเล่นเครื่องเล่นทำคาร์ดิโอ เป็นชั่วโมงๆ แต่ไม่เห็นผล ลองเปลี่ยนรูปแบบมาเป็น HIIT ดูสิคะ เพราะว่าการออกกำลังกายแบบนี้ เราจะไม่สูญเสียกล้ามเนื้อ เนื่องจาก HIIT จะช่วยเพิ่มระดับของฮอร์โมนให้เจริญเติบโต(อ่านเพิ่มเติม Growth Hormone) ซึ่งฮอร์โมนตัวนี้จะกระตุ้นให้มีการเจริญเติบโตของกล้ามเนื้อ และ ช่วยเผาผลาญไขมัน ดังนั้นระบบเผาผลาญเราจะทำงานได้ดีขึ้น ลองนึกภาพเปรียบเทียบรูปร่างระหว่าง นักกีฬาวิ่งระยะสั้น (100 ม.) กับนักวิ่งมาราธอน นะคะ นักกีฬาทั้งสองประเภท มี body fat % น้อยมากๆ  แต่ว่า นักกีฬาวิ่งระยะสั้นนั้น มีมวลกล้ามเนื้อมากกว่านักวิ่งมาราธอน ตรงนี้อธิบายได้ดีว่า การทำ HIIT นั้น เราจะไม่สูญเสียมวลกล้ามเนื้อ  :)

                                  


ใน 12-Week Lifting Program จะมี HIIT เข้ามาด้วยในสัปดาห์ที่ 5-6 ทั้งนี้เพราะ เมื่อเราใช้วิธี HIIT ผสมผสานเข้ากับการเล่นเวทเทรนนิ่ง (weight training)  จะทำให้การทำงานของระบบเผาผลาญในร่างกายทำงานได้สมบูรณ์ที่สุด เพราะระบบเผาผลาญจะทำงานได้นานถึง 48 ชั่วโมง หลังจากที่คุณหยุดการออกกำลังกายแล้ว

ตั้งใจจะให้สั้นๆ แต่อยากให้ครอบคลุม เลยยาวไปหน่อย :)

บทสรุป
HIIT ช่วยให้การออกำลังมีประสิทธิภาพมากขึ้น กล่าวคือ เห็นผลดีได้ในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งทุกคนสามารถนำไปใช้ได้ ไม่ว่าคุณจะเป็นคนประเภทที่กำลังจะลดน้ำหนัก หรือ สร้างกล้ามเนื้อ  เราทำ HIITรวมกับเวลาวอร์มอัพกับยืดเส้นคลายกล้ามเนื้อแล้ว ก็อยู่ที่ราวๆ 30-40 นาทีเท่านั้น น้อยกว่าเวลาที่ผู้หญิงส่วนมากใช้แต่งหน้าทำผมอีก  เพราะฉะนั้น คนที่บอกว่าไม่มีเวลาลดความอ้วน ลดน้ำหนักจะไม่มีข้ออ้างอีกต่อไป คิดดูว่า เพียงแค่ 30-40 นาทีต่อวัน สัปดาห์ละแค่ 3-4 วัน จะทำให้สุขภาพคุณแข็งแรงขึ้น อารมณ์แจ่ม
ลดเวลาที่เล่นเน็ต เล่นเฟซบุ๊ค ดูละคร ช็อปปิ้ง ทำเล็บ ฯลฯ แบ่งเวลาเหล่านั้นทำสิ่งให้เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพเถอะค่ะ

แอนจะมี HIIT 20 นาที ลงที่บล็อก ภายในอาทิตย์นี้ ติดตามต่อไปนะคะ มีข้อสงสัย โพสคอมเม้นท์ทิ้งไว้ได้นะคะ
แอน



ติดตามอัพเดทของบล็อกได้ทาง Drop Dead Healthy Facebook Page

12-Week Lifting Program Day 1 & Day 3- Week 5 & Week 6


สวัสดีค่ะ

ผ่านไปแล้วสำหรับ เดือนแรกของโปรแกรม ไวมั้ยคะ :) ใครที่อ่านบล็อกนี้แล้ว ยังไม่ได้เริ่ม สามารถตามไปได้ที่นี่นะคะ  Week 1 & Week 2

เข้าเดือนที่ 2 แล้ว สัปดาห์ที่ 5 และ 6 ยังเป็นการยกเวทแบบ split เหมือนกับสองอาทิตย์ที่ผ่านมา แต่ว่า เราจะมีคาร์ดิโอแบบ HIIT เข้ามาด้วยในวันที่ 4

เพื่อนๆที่ทำ ได้ทำ Journal จดไว้หรือปล่าวคะว่า เวิร์คเอาท์ที่ผ่านๆมา เราใช้เวทเท่าไหร่ ยกได้หนักขึ้นมั้ย ทำท่า Plank ได้นานขึ้นมั้ย?? แอนอยากให้ทุกคนใส่ใจรายละเอียดตรงนี้ มากกกว่าจะใส่ใจกับตัวเลขบนตาชั่งนะคะ เข้าใจว่ามันยาก ผู้หญิงเราส่วนมากจะกังวลกับจุดนี้มากเกินไป เดินผ่านตาชั่งก็อ่ะ ขอนิดนึง แต่พอเห็นตัวเลขแล้ว มันจะให้เราเสียกำลังใจเปล่าๆ อย่างที่เคยเขียนในบล็อกนี้Set your goalนะคะว่า ตัวเลขมันไม่ใช่เกณฑ์วัดที่แม่นยำ และดีที่สุด ตัวเลข มันไม่ได้บ่งบอกถึงความมีสุขภาพที่ดี หรือ ไม่ดี
                              

โอเคค่ะ เข้าเรื่องเวิร์คเอาท์วันนี้กัน วันที่ 1 และ 3 ของสัปดาห์ ท่าจะเป็นการบริหารกล้ามเนื้อส่วนบน Upper body นะคะ หัวไหล่ หลัง หน้าอก แขน(ทั้ง biceps, triceps) และสุดท้ายก็คือ ส่วนของ core  ซึ่งจะเป็น superset เหมือนกับอาทิตย์ที่ผ่านมา

ตาราง Week 5 & Week 6
Day 1 : Upper Body + Incline Walk 20 นาที ปรับเทรดมิลล์ให้อยู่ในระดับ incline หรือจะทำเป็นเดินเร็ว เดินขึ้นเนิน ได้เช่นกัน
Day 2 : Lower Body
Day 3 : Upper Body + Incline Walk 20 นาที เหมือนวันที่ 1
Day 4 : Lower Body + HIIT 15 นาที *
Day 5 : Rest
Day 6 : Rest
Day 7 : Rest

วันที่เป็น Rest สามารถทำกิจกรรมอย่างอื่นได้นะคะ เช่น โยคะ พิลาทิส ว่ายน้ำ เดิน เต้นซุมบ้า ฯลฯ...เดือนนี้แอนสัญญากับตัวเองว่า จะเดินทุกวันตอนเช้า วันละ 30 นาที :)

Day 1 & Day 3 Upper Body

Warm up 5-10 นาที โดยเน้นส่วนบน Upper body warm up
1.  Assist Pull Up                              3 sets of 5-10 reps     Rest 60 secs
2.  Upright Row w/ BB or DB          3 sets of 15 reps         Rest 60 secs
3.  DB incline Press or
     Decline Push ups                         3 sets of  10 reps                       Rest 60 secs
4. Hammer Curls w/ DB                   3 sets of 15 reps                        Rest 60 secs
5. DB Triceps Kick Back                 3 sets of 15 reps each side         Rest 60 secs
6. *Thumbs up Lateral Raise           3 sets of  15 reps                     Rest 60 secs
7. Bicycle Crunch superset with Plank  3 sets of 25-30 crunches & 30 secs Plank Hold

 5-10 นาที ยืดกล้ามเนื้อ Upper body cool down

BB หมายถึง Barbell, DB หมายถึง Dumbells ,
* ในเวิร์คเอาท์ ท่านี้จะเป็น Thumbs down หรือ Empty can แต่คนที่มีปัญหาข้อต่อหัวไหล่ ท่านี้ไม่เหมาะอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้น แนะนำให้ทำเป็น Thumbs up แทน
ทุกท่า เราต้องรักษาหลังให้ตรง Keep your abs TIGHT!!!

อุปกรณ์ที่ต้องมี
1. สมุดจด Workout journal ปากกา
2. Stop watch ไว้จับเวลาตอนพัก และตอนทำท่า Plank จะโหลด apps ,ใช้นาฬิกาจากไมโครเวฟ มือถือ หรือใช้ gymboss timer ก็ได้ค่ะ
3. เวทน้ำหนัก Barbell, Dumbells, DIY Sandbag หรือ ขวดน้ำใหญ่ๆ ขวดนม ขวดน้ำยาซักผ้า....หรือ Resistance band
4. Pull up bar สำหรับท่าที่ 1 หรือ ขอบประตู ใช้แทนได้เช่นกัน

คำอธิบาย ทำแต่ละท่า(exercises) ตามจำนวรครั้ง(reps) ที่กำหนดไว้ ทำครบ 1 เซ็ท( set) พัก 60 วินาที แล้วเริ่มเซ็ทที่ 2 ต่อ ทำจนครบ 3 เซ็ท ค่อยเริ่มท่าถัดไป

1. Assist Pull up แบบ Negative Pull up ท่านี้จะอยู่ในสัปดาห์ที่ 3 (วันที่ 3) ตอนนั้นทำได้กี่ครั้ง....วันนี้ลองทำดูนะคะว่า เราทำได้มากขึ้นมั้ย แม้ว่าจะทำมากขึ้น 1 ครั้ง ก็ถือเป็น progress เช่นกัน  รู้สึกแข็งแรงมากขึ้นหรือเปล่า การฝึกแบบ Negative จะช่วยสร้างความแข็งแรงและความทนของ แขน(forearms) และ ฝ่ามือ( grips) นะคะ



2. Upright Row สามารถใช้ได้ทั้ง ดัมเบลล์และบาร์เบล, resistance band, DIY sandbag หรือแม้กระทั่งขวดน้ำยาซักผ้า ขวดนมแกลลอน ฯลฯ



3. Decline Push ups ใช้แทนท่า Incline DB Press ได้นะคะ แต่ถ้าใครทีตัว bench ที่บ้าน ทำ Incline DB Press ได้ค่ะ ไม่ว่ากัน :)
สำหรับท่านี้ คนที่เป็น Beginners ไม่จำเป็นต้องใช้เก้าอี้สูง สามารถใช้ตัว yoga block ,ขั้นบันได หรือว่า หนังสือหนาๆตั้งรวมกัน(เอาพิงชิดข้างฝานะคะ จะได้ไม่ลื่นหล่น)



4. Hammer Curls with Dumbbells ลองเพิ่มน้ำหนักขึ้นจากท่า Biceps Curls ดูนะคะว่า เรายกได้หนักขึ้นมั้ย ปรกติ Biceps curls แอนจะยกได้ที่ 18 พาวน์ แต่ Hammer Curls ยกได้ถึง 22 พาวน์...ลองดูนะคะ

 
 
สำหรับคนที่มี Resistance band สามารถทำ Reverse Curls ได้นะคะ...วิดีโอที่แอนทำมันโหลดลงยูทูปไม่ได้ล่ะ :( ลองหลายรอบแล้ว เพราะฉะนั้น ต้องยืมชาวบ้านมา

 


5. DB Triceps Kickback ท่าเล่นหลังแขน คุณผู้หญิงหลายๆคนน่าจะชอบท่านี้นะคะ พยายามอย่าให้ข้อศอกตก ถ้ารู้ตัวว่าข้อศอกตกเมื่อไหร่ แสดงว่า เวทนั้นหนักไป ลดน้ำหนักเวทลงนะคะ
 เช่นกัน ท่านี้ คนที่ไม่มีดัมเบลล์ ใช้ของที่มีรอบๆตัวนะคะ ไม่ว่าจะเป็นขวดน้ำยาซักผ้า ขวดนม แกลลอน/ครึ่งแกลลอน อะไรก็ได้
  

ส่วนคนที่มี Resistance band สามารถทำได้แบบนี้



6. Thumbs Up Lateral Raises เลือกเวทอย่าให้หนักเกินไป เริ่มได้ที่ 5 พาวน์ หรือบางคนอาจจะ 3 พาวน์ เวลายกแขน ให้ต้นแขนอยู่ระดับเดียวกับหัวใหล่



7. Bicycle Crunches superset with Plank Hold ท่านี้เหมือนกับสัปดาห์ที่ผ่านมานะคะ ทำ Bicycle crunches เสร็จ ต่อด้วย Plank 30 วินาที โดยไม่พักระหว่างท่า นี่คือ 1 เซ็ท
ทำครบแล้ว จึงสามารถพักได้ 1 นาที แล้วเริ่มเซ็ทที่ 2



 หมดแล้วค่ะวันนี้ อาทิตย์นี้แอนลงเวิร์คเอาท์ช้าไปวันนึง ขอโทษด้วยนะคะ ลูกสาวเปิดเทอมแล้ว เวลาว่างน้อยลง...ต้องจัดสรรเวลาให้ดีขึ้น

ว่าจะเขียนบล็อกเกี่ยวกับเรื่องโภชนาการด้วย อาหารอะไรที่ทานแล้วส่งเสริมการออกกำลังกาย....รอติดตามกันนะคะ :)

Enjoy Training นะคะทุกคน มีข้อสงสัย เสนอแนะติชม ทิ้งคอมเม้นท์ไว้ได้ค่ะ

แอน

ติดตามอัพเดทของบล็อกที่ทาง Drop Dead Healthy Facebook Page

Wednesday, September 5, 2012

How to train for maximum result เทรนอย่างไรถึงจะเห็นผลลัพธ์

สวัสดีค่ะ

แอนรับอีเมล์แล้วก็คำถามทางกล่องข้อความ หนึ่งในคำถามที่ได้รับเยอะมาก ก็คือ" ไม่เข้าใจว่า ทำไมดิฉันไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงเลยคะ ทั้งๆที่ออกกำลังกายมาก็หลายเดือน ออกกำลังกายอาทิตย์ละ 5-6 วัน ทั้งยกเวท และทำคาร์ดิโอ ดิฉันออกกำลังกายมากไปหรือปล่าว ควรจะพักกี่วันดี " เพราะฉะนั้น บล็อกนี้ แอนจะเขียนเกี่ยวกับ เราควรออกกำลังกายกี่วัน นานแค่ไหน พักกี่วัน ถึงจะเห็นผลลัพธ์ ??   จากประสบการณ์ตัวเอง แล้วก็ศึกษาข้อมูลมานะคะ



คำตอบที่ให้ อาจจะทำให้หลายๆคนประหลาดใจ  - ถ้าคุณออกกำลังกายเป็นประจำ อาทิตย์ละ 5-6 วัน(บางคนอาจจะออกมัน 7 วันเลย) คุณจะไม่เห็นความชัดเจนของกล้ามเนื้อ หรือ muscle definitions ทั้งนี้เป็นเพราะ ร่างกายเราจะสร้างกล้ามเนื้อก็ต่อเมื่อ เราพักผ่อนนะคะ ไม่ใช่ตอนออกกำลังกาย/ยกเวท เพราะฉะนั้นหากเราออกกำลังกายทุกวันโดยที่ไม่วันพัก กล้ามเนื้อเราจะ break down

ถ้าเราเข้าใจกลไกการทำงานของร่างกายเรา เราจะรู้เลยว่า เราไม่ควรออกกำลังกายเกินอาทิตย์ละ 4  วัน ทั้งนี้ แอนหมายถึงการยกเวทนะคะ เพื่อนๆที่ทำ 12-week program จะเห็นว่า มีการยกเวทอาทิตย์ละ 3-4 วันเท่านั้น ที่เหลือ ก็ทำคาร์ดิโอ หรือออกกำลังกายแบบอื่นตามชอบ เช่น ซุมบ้า โยคะ พิลาทิส


จากหนังสือ
The New Encyclopedia of Modern body building : The bible of bodybuilding by Arnold Schwarzenneger and Bill Dobbins

When we train with enough intensity we create micro tears in our muscles, the body recognizes the tears and begins to rebuild it. If all you do is tear tear tear, guess what – the body cannot repair therefore build, and you will come to a constant state of overtraining.

Overtraining คืออะไร อ่านได้ที่บล็อกนี้ค่ะ Overtraining


จะเทรนอย่างไร ถึงจะได้ผลดี/ดีที่สุด???

ถ้าเราไม่อยากจะเจอหิดปลาทู Hit plateau หรือในอีกความหมายนึงก็คือ ถ้าไม่อยากให้ การลดน้ำหนัก หรือ การสร้างกล้ามเนื้อเราต้องหยุดชะงัก เราควรจะมี 1 week off ทุกๆ 6 สัปดาห์ ไม่ต้องกลัวว่า ร่างกายเราจะแข็งแรงน้อยลง หรือ น้ำหนักเพิ่มขึ้นในสัปดาห์ที่เราหยุดนะคะ ในสัปดาห์ที่เราหยุดนั้น ก็ให้หากิจกรรมเบาๆทำ เช่นเดิน วิ่งจ็อกกิ้ง ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน โยคะ พิลาทิส อะไรก็ได้ค่ะ ถือเป็นการพักผ่อน ไม่ใช่ว่า สัปดาห์นี้หยุด แล้วกิน ปาร์ตี้กระจาย นั่งๆนอนๆ อันนี้น้ำหนักขึ้นก็อย่ามาว่ากันนะคะ

ถ้าคนที่ออกกำลังกายมาตลอดแล้วไม่เคยหยุด นอกจากเราจะเจอหิดปลาทูแล้วเนี่ย มันอาจจะทำให้เราเกิดหมดกำลังใจที่จะออกกำลังกายได้นะคะ(แอนเจอมาแล้วกับตัวเอง)

นี่เป็นตัวอย่างตารางออกกำลังกายที่แอนทำอยู่ ทำมาประมาณ 8 เดือนแล้ว  เห็นผลดี แล้วก็ไม่หักโหมเกินไป

Day 1 : Yoga / Pilates  แอนจะเริ่มแบบง่ายๆก่อน เพราะมีวันหยุดก่อนหน้านี้ ร่างกายจะได้ไม่ช็อค
Day 2 : Lower body + abs
Day 3 : Upper body
Day 4 : HIIT 20 mins ซึ่งจะเป็นวิ่ง,กระโดดเชือก หรือทำ Plyometrics
Day 5 : Lower body + abs
Day 6 : Upper body
Day 7 : Complete rest

โปรแกรมการออกกำลังกาย แอนจะเปลี่ยนทุกๆ 4 สัปดาห์ ร่างกายเราจะได้ไม่มีโอกาสปรับตัวได้ เป็นการ challenge กล้ามเนื้อ เราเองจะได้ไม่เบื่อด้วยน่ะค่ะ
เห็นผลดีในที่นี่คือ เห็นความชัดเจนของกล้ามเนื้อมากขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงที่ออกกำลังกาย 5-6 วัน แข็งแรงมากขึ้น  ตื่นเช้ามาไม่รู้สึกเหนื่อย อาจจะมีปวดกล้ามเนื้อบ้าง แต่วันรุ่งขึ้น จะทำกิจกรรมเบาๆ



เราควรจะรู้สึก สดชื่น energized ทุกครั้งหลังออกกำลังกายนะคะ ไม่ใช่ออกเสร็จแล้ว เหนื่อย หมดแรง แทบจะเป็นลม อ้วกแตก อันนี้เรา push ตัวเองเกินลิมิตไป

ถ้าออกกำลังกายไปแล้ว วันนึงรู้สึก

1. เบื่อ เซ็ง ไม่อยากออก
2. กล้ามเนื้อล้า
3. กระวนกระวาย นอนไม่หลับ
4. เบื่ออาหาร
5. ความแข็งแกร่งร่างกายลดลง Loss of strength in your performance
6. อารมณ์ขึ้นๆลงๆ หาสาเหตุไม่ได้

นี่คือสัญญาณของการออกกำลังกายหักโหมนะคะ ถ้ามีอาการแบบนี้ ให้หยุดพัก 1 อาทิตย์ ชาร์จแบ็ตให้ร่างกาย จิตใจ แล้วค่อยกลับมาออกกำลังกายอีกครั้ง คราวนี้ปรับวิธีการเทรนใหม่ ให้เวลาร่างกายพักฟื้น

ท้ายที่สุด อย่าลืมนะคะว่า เราจะเห็นผลลัพธ์ได้ก็ต่อเมื่อ โภชนาการเราดี เราทานอาหารดีมีประโยชน์ครบ 5 หมู่ อย่าคิดว่า เราจะกินอะไรก็ได้ เพราะถือว่าเราออกกำลังกายแล้ว You can't never work-out a bad diet!!!  การออกกำลังกายสำคัญก็จริง แต่โภชนาการ สำคัญมากกว่าการออกกำลังกายนะคะ ถ้าเราอยากเห็นกล้ามเนื้อที่ชัดเจน เห็นกล้ามเนื้อหน้าท้อง เราต้องดูแลเรื่องอาหารการกินให้ดี ไว้บล็อกหน้า แอนจะเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกที

เพื่อนๆล่ะค่ะ การออกกำลังกายของตัวเองตอนนี้เป็นอย่างไร?? ออกมากเกินไปมั้ย ได้พักผ่อนอย่างเพียงพอหรือเปล่า?? โภชนาการเราควบคู่กับการออกกำลังกายที่ทำอยู่มั้ย??? มีความคิดเห็นอะไร ทิ้งคอมเม้นท์ไว้ได้นะคะ

ขอบคุณที่ติดตามค่ะ

แอน

ติดตามอัพเดทของบล็อกได้ทาง Drop Dead Healthy Facebook Page




Overtraining คืออะไร

Overtraining ก็คือ เมื่อเราออกกำลังกายอย่างหักโหม โดยไม่ให้ร่างกายมีเวลาพัก ฟื้นฟู ซ่อมแซมกล้ามเนื้อ มันจะส่งผลให้ประสิทธิภาพและความแข็งแกร่งของร่างกายลดลง แอนก็เคย overtrained เช่นกัน ขอบอกว่า มันไม่สนุกเลย

เครดิตภาพจาก builtlean.com



เมื่อ2 ปีก่อน แอนออกกำลังกายแบบ HIIT(High Intensity Interval Training) เน้น bodyweight มีวิ่ง/เดินด้วย  อาทิตย์ละ 5-6 วัน ช่วง 3-4 เดือนแรก เห็นผลดีมาก เริ่มเห็นกล้ามเนื้อตามแขน หลัง ขา และหน้าท้อง แต่ยังไม่พอใจ คิดว่า more is better คราวนี้ บางวัน จะออกกำลังกายแบบนี้ 2 ครั้ง เพราะคิดว่า มันแค่ 12-15 นาที ร่างกายเรารับไหวอยู่แล้ว

อันนี้เป็นรูปที่เริ่มออกกำลังกายช่วง 3-4 เดือนแรก
                                         

พอเข้าปีที่ 2 เริ่มรู้สึกว่า เออ ทำไมกางเกงมันเริ่มคับๆเนี่ย จากที่เคยมี energy สู้รบปรบมือกับลูกสองคน มันกลายเป็นว่า นอนตื่นมาก็เหนื่อย ปวดเมื่อยเนื้อตัว ปวดหัว ตอนนั้นคิดว่า กาแฟ และ การออกกำลังกายเท่านั้นที่ช่วยเราได้ ก็ไปออกกำลังกายนะคะ ออกเหมือนเดิม แต่เริ่มรู้สึกว่า ฟอร์มมันเริ่มตก เช่นวิดพื้น(push up) จากที่อกเคยติดพื้น ก็กลายเป็น Half push up ไป, เหนื่อยง่าย เวิร์คเอาท์ได้แค่ครึ่งทาง พักดื่มน้ำหลายยก ฯลฯ แต่ก็คิดเข้าข้างตัวเองว่า คงเพราะนอนไม่พอมั้ง อาหารก็เริ่มจะเคร่งขึ้นนิด แถมบางวันกินน้อยอีก เพราะมันเหนื่อย ทำให้เบื่ออาหารไปเลย  (อย่าทำตามเด็ดขาด ถ้าเราเหนื่อย...เหนื่อยนะคะ ไม่ใช่ขี้เกียจ/ไม่อยากทำ ฟังร่างกาย แล้วพักซะ) ผลที่ได้ก็คือ ช่วงเดือน เมษาปีที่แล้ว แอนต้องหยุดออกกำลังกายยาว 2 อาทิตย์ เพราะร่างกายไม่ไหว เหนื่อย หมดแรง เบื่ออาหาร แล้วพาลทำให้ไม่อยากออกกำลังกายไปซะงั้น ใช้เวลาเยียวยา เรียกแรงบันดาลใจให้กลับมาฮึดอีกรอบ...เป็นบทเรียนราคาแพงที่จำไปนานเลยล่ะค่ะ

อาการของ Overtraining ได้แก่

Physical Signs & Symptoms
 
  1. Chronic muscle soreness or joint pain อาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ข้อต่อเรื้อรัง
  2. Frequent minor infections ป่วยบ่อยมากขึ้น อาจจะไม่ป่วยมาก แต่มักมีอาการ ปวดหัว เจ็บคอ น้ำมูกไหล เหมือนจะเป็นไข้ เป็นหวัด
  3. Exhaustion เหนื่อยล้า ตื่นมาก็รู้สึกเหมือนนอนไม่พอ
  4. Weight loss/gain น้ำหนักลด หรือเพิ่มโดยไร้สาเหตุ
  5. Appetite loss เบื่ออาหาร
  6. Increased thirst or dehydration รู้สึกกระหายน้ำอยู่ตลอดเวลา
  7. Intolerance to exercise ไม่สามารถออกกำลังกายได้เสร็จ หรือหยุดออกกลางคัน
  8. Decreased performance ความแข็งแกร่งร่างกาย กล้ามเนื้อลดลง
  9. Delayed recovery from exercise ร่างกายใช้เวลานานกว่าปรกติในการพักฟื้นระหว่างแต่ละเวิร์คเอาท์
  10. Fatigued, tired, drained, lack of energy เหนื่อย ง่วงเหงา หาวนอนตลอดเวลา
  11. Reduced ability to concentrate ไม่ค่อยมีสมาธิ
  12. Lack of motivation ความอยากที่จะออกกำลังกายหดหายไป
  13. Irritability หงุดหงิดง่าย
  14. Anxiety สับสนกระวนกระวาย
  15. Depression ซึมเศร้า
  16. Headaches ปวดหัว
  17. Insomnia นอนไม่หลับ
  18. Felling jittery ใจสั่น
หลังจากหยุดพักยาว ได้ข้อคิดเยอะ เปลี่ยนมุมมองของการออกกำลังกายไป ตอนนี้แอนสนุกกับการออกกำลังกายมากขึ้น ไม่เคร่งเครียดเหมือนเมื่อก่อน ออกกำลังกายเพราะรักร่างกาย สุขภาพของเรา :)
 
เพื่อนๆที่อ่านล่ะค่ะ เคยมีประสบการณ์แบบนี้มั้ยคะ?? ถ้าเคย มีวิธีรับมือยังงัยบ้าง???  ทิ้งคอมเม้นท์ไว้ได้ค่ะ

แอน

ติดตามอัพเดทของบล็อกได้ทาง Drop Dead Healthy Facebook Page

อ้างอิงจาก
www.lovingfit.com
www.marksdailyapple.com
www.builtlean.com