Pages

Sunday, July 29, 2012

Diet mistake Part 2 ข้อผิดพลาดเรื่องโภชนาการ...ที่เรา(อาจจะ)ทำโดยไม่ตั้งใจ ตอน 2

สวัสดีค่ะ :)
หลายๆคนอาจจะพอรู้แล้วนะคะว่า แอนจะทำวิดีโอสาธิตท่าต่างๆของโปรแกรม 12 weeks Progressive Lifting ซึ่งเป็นโปรแกรมยกเวทสำหรับผู้เริ่มต้น หรือคนที่ห่างหายจากการออกกำลังกายไปพอสมควร ไม่ว่าจะเพราะอาการบาดเจ็บ เพิ่งคลอดน้อง ฯลฯ ตามโปรแกรม มันจะมีท่าที่ต้องใช้ weight machine ที่ยิม แต่แอนจะโมดิฟายแบบทำที่บ้านได้ ตรงนี้จะเป็นประโยชน์กับหลายๆคนที่ไม่ได้เป็นสมาชิกฟิตเนส(รวมถึงแอนด้วย) จะเริ่มอัดคลิปวันอาทิตย์นี้นะคะ ช่วยภาวนาให้สองแสบไม่กวนด้วยเถิดดด :)

อ้อ โปรแกรมนี้ แอนไม่ได้เป็นคนคิดเองนะคะ เป็นโปรแกรมของ The Sweaty Betties ซึ่ง Danny Johnson เจ้าของเว็บ เป็นคนดีไซน์โปรแกรมนี้ขึ้นมา แดนนี่เป็น certified personal trainer แล้วก็ Lifestyle and Weight Management Consultant แอนเคยทำเวิร์คเอาท์ที่เค้าเคยลงมาก่อนหน้านี้มาระยะนึง เพราะฉะนั้นมั่นใจว่า ไม่ได้เป็นตาสีตาสา นั่งเทียนเขียนโปรแกรมนะคะ เพื่อนๆสนใจโหลดโปรแกรมได้ที่นี่ค่ะ  12-week lifting program


เข้าเรื่องๆ บล็อกนี้เป็นบล็อกเกี่ยวกับเรื่องโภชนาการนะคะ ซึ่งต่อเนื่องจากตอนที่แล้ว ถ้าใครยังไม่ได้อ่าน อ่านที่นี่นะคะข้อผิดพลาดเรื่องโภชนการการ ตอนที่ 1

ข้อผิดพลาดข้อที่ 3 อด...เพื่อลด


 เคยอยู่ในสถานการณ์ต่อไปนี้มั้ยคะ



1.  ตื่นแต่เช้า เมื่อคืนวางแผนเป็นดิบดีว่า จะเริ่มต้นวันนี้โดยทานโยเกิร์ตกับผลไม้ โรยหน้าด้วยกราโนล่า น้ำผึ้งนิดนึงเป็นอาหารเช้า แค่คิดน้ำลายก็ไหล น้ำย่อยเริ่มทำงาน ท้องร้องจ๊อกๆ แต่....อีกใจนึง อุ๊ย ไม่เอาดีกว่า ถ้าเรางดมื้อนี้ไปนะ มันก็หมายถึง วันนี้เรากินน้อยลง น้ำหนักก็ต้องลดลงแน่เลย...เวลาผ่านล่วงเลยไปจน 10 โมงเช้า เอาล่ะสิ ท้องร้องโครกคราก อายคนข้างๆจัง หิวจนไส้กิ่ว น้ำก็ดื่มจนเข้าห้องน้ำมันทุกครึ่งช.ม. สักพัก เพื่อนร่วมงานถือกล่องโดนัทเดินผ่าน กาแฟหอมๆอีก ...อดใจไม่ไหวแล้วววว ป๊าดดดด จัดการไปสองชิ้นพร้อมกับกาแฟปั่นอีกครึ่งแก้วภายในพริบตา

2. เอาน่ะ มื้อเช้าพลาดไปแล้ว เหลือมื้อเย็น อดมื้อเย็นก็ได้ ตั้งกฏขึ้นมา พอหลัง 6 โมงไป จะไม่กินอะไรทั้งสิ้น ทานข้าวเย็นเสร็จ ครัวปิด ถ้าหิวก็จิบน้ำเปล่าเอาก็ได้ พอนาฬิกาบอกเวลาสองทุ่ม เริ่มว่างล่ะ พอว่าง ปากมันไม่อยากว่างตามน่ะสิ  เดินเข้าเดินออกห้องครัวเปิดตู้เย็น ใจนึงก็คิด อืม...กินอะไรดีน้า อีกใจนึงก็ ไม่เอาอ่ะ ไม่กิน มื้อเช้าพลาดไปแล้ว มื้อนี้สู้ตาย...ไปเปิดดูทีวีดีกว่า เปิดมาเจอช่อง Food network พอดีอีก อะไรจะโชคดีขนาด อาหารน่ากินๆทั้งนั้นเลย ท้องเริ่มส่งเสียงประท้วง....ว่าแล้วก็ มาม่าเจ้าเก่า

การอดอาหาร อดเป็นมื้อๆนั้น มีแต่จะส่งผลเสียนะคะ อย่างที่ยกตัวอย่างสถานการณ์ข้างบน แอนก็คนนึง เคยเป็นแบบนั้น เคยคิดว่า เราต้องอด ต้องลด กินให้น้อยๆ น้ำหนักมันจะลงไว ลงน่ะลงแน่นอน แต่หลังจากนั้น มันก็เด้งกลับขึ้นมา เพราะไอ้อดๆอยากๆนี่แหละค่ะ( Deprivation)

อีกอย่าง เคยมั้ยคะ ตอนที่เราเราอดอาหาร เรากลับนึกถึงแต่อาหาร คิดวนไปเวียนมากับเรื่องกินทั้งวัน(ก็ร่างกายเราส่งสัญญาณว่า หิวแล้วนะ ถึงเวลากินแล้วนะ)  ยังมีงานวิจัยออกมานะคะว่า การอดอาหารนั้นส่งผลกับ "hunger hormone" *ฮอร์โมนที่ชื่อว่า Neuropeptide Y หรือ NPY ซึ่งโดยปกตินั้นถูกสร้างโดยสมอง เป็นที่รู้จักกันว่า เป็นฮอร์โมนที่มีผลต่อความรู้สึกหิว และกระตุ้นให้กินอาหาร จะถูกสร้างเพิ่มขึ้นเรื่อยๆถ้าเราอดอาหารเป็นประจำ ยิ่งเราอดนานเท่าไหร่ เวลาเราทาน เรายากควบคุมตัวเองยากขึ้นเท่านั้น ตรงนี้หลายๆคนพอจะนึกภาพออกใช้มั้ยคะ ที่เค้าว่า หิวจนตาลาย เวลาหิวมากๆเนี่ย กินเข้าไปได้ไม่อั้น กินจนจุก จากไอ้ที่ไม่ควรจะกิน ก็กินไม่สนล่ะงานนี้ หรือภาษาฝรั่งเรียกว่า Binge



                                             

วิธีแก้ไข

แทนที่เราจะคิดว่า "อด เพื่อ ลด" ให้เปลี่ยนมา
1. Know your body ทานเมื่อรู้สึกว่าหิว ที่บอกว่าหิวเนี่ย อยากให้ลองแบ่งระดับดูนะคะ เริ่มจาก 1 ไล่ไปถึง 10
ระดับ 1 คือ  กินทุกอย่างที่ขวางหน้า กินเหมือนมื้อนี้เป็นมื้อสุดท้ายในชีวิต ส่วนระดับ 10 คือ อิ่มจนปลิ้น **พยายามอย่าให้ระดับความหิวเราตกเกินหมายเลข 3** พูดง่ายๆก็คือ เริ่มหิวนิดๆ ถ้ายังหาอะไรรองท้องไม่ได้ เช่นยังทำงานอยู่ ดื่มน้ำเย็นๆช่วยได้นะคะ
อยากให้ลองฝึกฟังสัญญาณจากร่างกายเราดู มันไม่จำเป็นว่า เราต้องกินทุก 2-3 ช.ม. เพราะแต่ละคนระบบร่างกายไม่เหมือนกัน ความต้องการอาหารไม่เท่ากัน เริ่มหิว ก็หาอะไรทานซะ ทานของมีประโยชน์ครบ 5 หมู่ ทานช้าๆ มีสติในการทาน อย่าทานไปดูทีวีไป อ่านหนังสือไป มันจะทำให้เราทานเกินไม่รู้ตัว

2. Drive with, not through หากต้องออกไปข้างนอก ทำธุระนานๆ ให้หาพวกสแน็คใส่กระเป๋าคูลเลอร์เล็กๆติดรถไปด้วย เช่น
- ออร์แกนิคแอ็ปเปิลหรือกล้วยหอม+ ถั่วอัลมอนด์หรือถั่วอื่นๆ1/4 ถ้วย
- โยเกิร์ตรสธรรมชาติ+ผลไม้+ถั่วต่างๆ
 - ถ้าไม่มีผลไม้สด ผลไม้แห้งเช่นลูกเกด เชอรรี่แห้ง(แบบไม่ใส่น้ำตาล) 2 ช้อนโต๊ะ + ถั่วต่างๆ1/4 ถ้วย(แบบดิบนะคะ แบบอบ เค้าอบใส่น้ำมันพืช)
- หรือ อาจจะทำแซนวิชไก่งวง ก็ได้ ทานแก้หิว จะได้ไม่ต้องรอหิวจนหน้ามืดตาลายขับเข้าพวก drive-tru


ข้อผิดพลาดข้อที่ 4 มื้อเล็กๆ หลายๆมื้อ



คิดว่าหลายๆคนคงเคยได้ยินคำแนะนำที่ว่า ทานมื้อเล็กๆแต่ทานหลายมื้อ ทานบ่อยๆ ซึ่งมันก็ถูกและไม่ถูกนะคะ
คอนเซ็ปนี้ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายเมื่อสองสามปีที่ผ่านมา แอนเองเคยรู้การกินแบบนี้มาตั้งแต่สมัยแอนทำงานที่ฟิตเนสหลายปีก่อนนู้น เวลาเทรนเนอร์แนะนำให้เมมเบอร์ทานอาหารเนี่ย เค้าจะแนะนำให้วันนึงทานอาหารแบ่งมื้อเป็นมื้อย่อยๆ มื้อนึงแคลอรี่ตก 100-400 แคลอรี่ ทานวันละ 5-6 มื้อ หรืออาจจะ 8 มื้อ เชื่อว่าการทานแบบนี้จะทำให้ระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดคงที่ และระบบเมตาโบลิซึ่มทำงานตลอด

แต่เมื่อปีที่แล้ว มีงานวิจัยออกมาแย้งกับคอนเซ็ปการรับประทานแบบนี้ งานวิจัยจากมหาลัย Purdue* พบว่า คนส่วนมากมักจะมีปัญหาเรื่อง portion คือ สัดส่วนอาหารไม่ได้เล็กเท่าๆกันทุกมื้อ คนส่วนมากที่เริ่มใช้วิธีรับประทานอาหารแบบนี้ มักจะเข้าใจว่า การทานมื้อย่อย คือ ให้ทานพวกแสน็คคั่นระหว่างมื้อใหญ่ 3 มื้อตามปรกติ แต่มักจะลืมนึกไปว่า เมื่อไม่ได้ตัดสัดส่วนอาหารมื้อใหญ่ลง แล้วเพิ่มแสน็คเข้าไป นั่นก็เท่ากับเราเพิ่มแคลรี่ให้กับร่างกายโดยไม่รู้ตัว Bingo!! เริ่มๆอ๋อแล้วใช่มั้ยคะว่า เออ ทำไมเราทานหลายมื้ออย่างที่เค้าแนะนำกัน ทำมั้ย...ทำไม น้ำหนักเจ้ากรรมมันยังไม่ลงซะที

อีกปัญหานึงก็คือ หลายๆคนเวลาสแน็คระหว่างมื้อ มักจะสแน็คของทานเล่น เช่น
-พวกแคร็กเกอร์กับเนยถั่ว
- 100 calorie Snack Pack พวกแสน็คทานเล่นที่แปะป้ายไว้ว่า 100 แคลอรี่
 - Baked Potato chips มันฝรั่งอบ...คิดว่ามัน เฮลท์ตี้กว่าแบบธรรมดา
          

- Trail-Mix ที่ซื้อเป็นถุงๆ มักจะมีพวกช็อคโกแลต m&m ผลไม้แห้งเคลือบน้ำตาล
หรือแบบนี้
                                        

                                                                    ฯลฯ

ของทานเล่นพวกนี้ ไม่มีประโยชน์ มีแต่ แป้ง น้ำตาล ไขมันแบบไม่ดี เป็น processed food ทานได้ไม่นานก็รู้สึกหิวอีก เมื่อหิวก็ต้องกิน สรุปแสน็คพวกนี้แทนที่จะช่วยลดน้ำหนัก กลับทำให้น้ำหนักเพิ่มซะนี่ 
สแน็คที่ทานคั่นระหว่างมื้อควรจะประกอบไปด้วย ผัก/ผลไม้, โปรตีน,และกรดไขมันที่ดีพอประมาณ(ลิสต์อาหารเหล่านี้ สามารถอ่านได้ที่นี่ The best diet tips ever)

                                



ดังนั้นหากเราต้องการใช้วิธีการรับประทานแบบมื้อย่อย หลายๆมื้อนั้น เราจำเป็นต้องวางแผนล่วงหน้าว่า อาหารแต่ละมื้อมีอะไรบ้าง และควรจะมีระเบียบวินัยในการกิน ทานหมดก็หยุด ไม่ใช้แสน็คไปเรื่อย
สำหรับแอน จากประสบการณ์ การทานมื้อปรกติ 3 มื้อ ถ้าหิวระหว่างมื้อ ก็ทานแสน็คเล็กๆ ระหว่างวัน 1-2 มิ้อ ถ้าไม่หิว ก็ไม่กิน แอนทำแบบนี้ได้ผลดีที่สุดในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา




              
     


เพื่อนๆละค่ะ เคยผ่านสถานการณ์แบบด้านบนมั้ย อะไรที่ทำให้คิดว่าวิธีการกินที่ทำอยู่นั้นไม่ได้ผล หรือว่ามี ไอเดียแสน็คอร่อยๆมาแชร์กันได้นะคะ

ขอบคุณที่ติดตามค่ะ

แอน



ที่มา
http://www.purdue.edu/newsroom/pitn/archive.html
http://hungerhormones.com/
http://hungerhormones.com/thypath.html
http://www.raysahelian.com/neuropeptide.html

ติดตามอัพเดทของบล็อกได้ทาง Drop Dead Healthy Facebook Page


Wednesday, July 25, 2012

Success Story ของพี่แอนน์ ClayAnn



สวัสดีค่ะชาวบล็อก Drop Dead Healthy

ขอโทษด้วยนะคะที่ห่างหายไปนานนนน เพราะแล็ปท็อปโดนไวรัสลง คุณผู้ชายที่บ้านก็ไม่ว่างซ่อมให้ซะที ไอ้เราจะซ่อมเอง ก็บอกโนๆ เดี๋ยวไอทำเอง กลัวทำแล็ปท็อปเจ๊งว่างั้น ก็เป่าหูทุกวัน ไม่ได้อัพบล็อกเลยเนี่ย แฟนคลับรอแย่ โฮะๆ ได้ผลคร้า(หรืออาจจะเพราะรำคาญฟังภรรยาบ่นทุกวัน ฮา )

วันนี้แอนมี ประสบการณ์ การลดน้ำหนักของพี่แอนน์ มาฝากให้อ่านนะคะ เนื่องจากพี่แอนน์ได้โพส progress ของตัวเองในที่เฟสบุ๊ค แอนเห็นรูปแล้วทึ่ง ยกย่องในความพยายาม ความตั้งใจ เลยขอให้พี่เค้าช่วงเขียนเล่าประสบการณ์ให้ฟัง เผื่อหลายๆคนที่กำลังพยายามลดน้ำหนักอยู่ อ่านเรื่องพี่แอนน์แล้วจะได้ข้อคิด และเกิดแรงบันดาลใจอีกหลายๆๆฮึด  :)
จุดเริ่มต้น

เริ่ม จากที่เสื้อผ้ามันเริ่มคับมากสุดขีด ถึงขั้นต้องซื้อเสื้อผ้าใหม่ละนะ  แหวนแต่งงานก็คับ ความรู้สึกก็ไม่ค่อยกระฉับกระเฉง ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็วกไปวนมาอยู่แค่เนี๊ยะ แม้จะออกกำลังกายบ้าง มันบวกกับเรื่องงาน หาไม่ได้ดั่งที่ต้องการ มันก็สุขเพลิน เกินไปหน่อย ครั้งก็เป็นครั้งที่นับไม่ได้

                              


แล้วทีนี้ก็เริ่มหาข้อมูล อ่านสิ่งเดิมๆที่เคยอ่านมาแต่ลืมไปแล้ว อ่านแรงจูงใจ หาแรงผลักดันว่างั้นเหอะ เบื่อการกระทำเก่าๆ ก็เลยไปเจอเข้ากับรูปของแอน drop death healthy เข้า เห็นรูปที่บล๊อคบอดี้ร๊อคแล้วแบบว่า โห..ทำได้ไงอ่ะ แล้วมาเห็นสูตรอาหาร เกิดความสนใจขึ้นมาว่า เออ..เข้าท่าแฮะ ได้กินนู่นนี่ตลอดเลย บวกกับคุยกับเพื่อนๆบางส่วนเรื่องนี้อยู่ เขาดูแลสุขภาพกัน ฟังไปฟังมา คุยไปคุยมา เริ่มอินตามคับ อิๆ(แรงจูงใจอย่างแรงอีกอันคือ เจนี่ เทียนฯค่ะ สนใจการออกกำลังกายและตั้งใจจริงของเค้า เห็นแล้วมันทำให้เราฮึดสู้)



พอสร้างความรู้สึกได้ การเริ่มต้นก็เกิดขึ้นอีกครั้ง! 
น้ำหนักสูงสุด Apr 3, 2012   161 lbs หรือ 73.18 kgs

ทำยังงัยถึงสามารถมาถึงจุดนี้ได้

พอเริ่มต้นได้ ก็เป็นนิมิตรหมายที่ดี แรงใจมาก็เข้าสู่ระบบชีวิตที่
เลือกใหม่เลย

ขั้น แรกเลยเนี่ย เริ่มจากอาหารก่อน ต้องบอกว่าสำหรับตัวเองเนี่ย เริ่มจากการนับแคลอรี่คร่าวๆและว่างๆก็หาความรู้ด้านอาหาร พืชผัก ผลไม้ต่างๆ ไม่ได้นั่งนับเอาเป็นเอาตายนะคะ แต่พยายามอ่านและฝึกตัวเองให้รู้พอคร่าวๆ เพราะจริงๆแล้ว อาหารบางอย่างไม่ได้นึกว่ามันจะแคลอรี่สูง ไม่มีประโยชน์มากในด้านการควบคุมน้ำหนักและสุขภาพ หรือแม้แต่ความกลัวอ้วนในอาหารต่างๆที่ผ่านมา  เพื่อนแต่ละคนก็โพสและคุยกัน เล่าให้กันฟังตลอดว่า อันไหนดี ไม่ดี ยังงัย แล้วก็เลยเริ่มการครีเอทเมนูขึ้นมาเพราะเริ่มสนุกกับการหาและทำอาหารที่เรา กินได้ปริมาณเท่าเดิม แต่เปลี่ยนมาเลือกสิ่งที่ดี และเริ่มจำว่าประเภทไหน ใช้อะไรแทนได้ พอสนุกกับการดัดแปลงอาหาร มันก็เอนจอยกับการกิน ไม่ฝืนกิน บวกกับพอรู้ว่าไอ้นู่นไอ้นั่นดี ความรู้สึกก็เปลี่ยนไปทางบวกกับผักผลไม้ และไขมันชนิดดี แป้งชนิดดี ต่างๆเหล่านั้น



แล้วพอวันนึง ครีเอทเมนูได้หลายอย่าง อย่างสนุกสนานก็เกิดความกล้าที่จะลองน้ำปั่นผักผสมผลไม้ ลองเมนูใหม่ๆ ความตื่นเต้นกับอาหารมันก็เลยทำให้สนุกที่จะกิน เพราะแรกๆเราอ่านแคลอรี่ อ่าน nutritions ก็เริ่มมั่นใจว่ากินไอ้นี่ได้มากเท่าไหร่ดี ตอนนี้ไม่ได้นับแคลอรี่แล้ว เพราะว่าเริ่มจำและชินกับการทำอาหารว่าปริมาณเท่าไรดีแล้ว สรุปว่า.. อาหารหลากหลาย มันก็ทำให้ไม่เบื่อ สนุกที่จะกิน และก็กินๆๆๆ ไม่มีการอด แถมยังกิน 4-5 มื้อเลยทีเดียวเชียว สุขไม๊ล่ะเนอะ?


การ อ่าน การหาข้อมูลมันมีส่วนมากมาย ไม่ได้หาอย่างเอาเป็นเอาตาย เราอ่านแบบว่าเหมือนเราซื้อนิตยสารมาอ่านเล่นๆ ไรงี้นะ(แต่ไม่ได้ซื้อ หาเอาตามเนท อิๆๆ) แล้วก็จะเกิดกำลังใจ สิ่งจูงใจ แรงผลักดัน ทุกอย่างอยู่ที่เราคนเดียวเท่านั้นที่จะสร้างขึ้นมาได้ เริ่มได้ ความมั่นใจมันจะมาเอง และสิ่งสำคัญอันสุดท้าย ณ จุดนี้คือ...ลงมือทำ!!! 


แล้วมันก็เลยเดินมาถึงจุดนี้...ได้

เรียนรู้อะไรบ้างจากประสบการณ์


จากประสบการณ์ที่ผ่านมา


ตอนอายุรุ่นๆ .. เคยกินยาถ่ายอ่อนๆ ไม่เคยคิดอ่าน หาข้อมูลอะไร ก็เข้าใจผิดๆตลอดมาตอนนั้น แต่ครั้งเดียว วิธีนี้ไม่เวิร์คแต่แรกเลย เพราะบังเอิญแอนน์เป็นคนที่เจ็
บท้องแล้วอาจหน้ามืดได้ เพราะมันเป็นมาหลายทีด้วยอาการประจำส่วนตัว ก็จะปัดผ่านไปเลย แถมความที่ชอบอ่าน ก็ยิ่งรู้ข้อมูลอีกว่าการกินยาถ่ายเบาๆ หรือชาลดความอ้วนต่างๆนาๆ มันไม่ดีต่อลำไส้ใหญ่เสียเลย มันผิดธรรมชาติ มีแต่เสียกับเสีย เรื่องล้วงคอนี่ไม่เคยเห็นด้วยแต่แรก แต่เห็นคนทำกันบ้างเหมือนกัน ไม่ไหวค่ะ ทำร้ายร่างกายทั้งนั้น


ส่วนวัยทำงานอายุยังรุ่นๆเหมือนกัน.. ก็เคยกินยาลดความอ้วนค่ะ สรรพคุณว่าดีงู๊นงี้ แต่สุดท้ายมันก็ลงท้ายด้วย เออ..ว่ะ เสียเงินไปเฉยๆนี่นา กี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็กลับมาอ้วนเหมือนเดิม และบางครั้ง ..ยิ่งกว่าเดิม!! แถมอาการข้างเคียงนี่ไม่แน่ใจว่าใช่หรือปล่าว แถมกินแล้วปากอาจมีกลิ่น เพราะมันทำให้อยากดื่มน้ำบ่อยๆ กระเพาะเราจะเป็นไรป่าวว๊า สุดท้ายก็เลิกกิน(ดีที่กินไม่นานนะคะ เพราะเคยได้ยินบางคนกินเป็นชีวิตประจำวันเลย ไม่ไหวค่ะ หุๆๆ ไม่เห็นด้วยกับการกินยาเสียเงินแบบนี้เลยค่ะ) ซึ่งพอเลิกได้ปีสองปี ก็เริ่มได้ข่าวว่าคนนู๊นกินยาแล้วตาย หรืองัยเนี่ยแหละ จำไม่ค่อยได้ ก็เลยซึ้งกับตัวเองที่เลิกได้ ประการที่สำคัญที่สุดก็คือ"เงิน"ค่ะ หุๆๆ มันดูยังงัยไม่รู้นะ กินเข้าไปก็จ่ายเงินกินซะเยอะ จะเอามันตัวเองออก เรายังต้องเอาเงินไปให้เขาเอาออกให้อีก ไม่ไหวค่ะไม่ไหว  เรื่องผ่าตัดนู่น นี่ ไม่เคยมีอยู่ในสมอง เพราะกลัว ฮี่ๆๆๆ  แค่ยานี่ก็เกินพอละ  อ่อ..ยาลดความอ้วนเนี่ย สมัยสิบเอ็ดปีที่แล้วที่มาอยู่เมกาเนี่ย สั่งข้ามน้ำข้ามทะเลมาเลยนะคะ เป็นไงล่ะ เสียเงินหลายเด้งเลย มีแต่เสียกับเสีย สุดท้ายก็เปล่าประโยชน์


ดังนั้น เรียนรู้แล้วว่าที่ผ่านมา เสียเงินฟรี ฮ่าๆๆ คิดย้อนหลังกลับไปนะ เอาเงินพวกนั้นไปซื้อเทป ซื้ออาหารที่ดีต่อสุขภาพ ซื้อเสื้อผ้า ของแต่งตัวอย่างที่หญิงๆชอบกันได้เยอะโขเลยค่ะ สาวๆ


สุด ท้ายมาเจอพี่เคลย์ คนนี้ออกกำลังกาย ทีนี้ถึงจุดเปลี่ยน เริ่มมาเรียนรู้การออกกำลังกาย เห็นพี่เคลย์ทำ ก็เริ่มอ่านในเนท แล้วก็เริ่มทำ โดยมีเทปแรกในชีวิตที่โทรไปซื้อเองเชียวนะ slim in 6 with Debby Seiber ซึ่งยังใช้อยู่จนทุกวันนี้ รวมเวลาเบ็ดเสร็จร่วมสิบปีเชียว


พอ เริ่มออกกำลังกายและทำงานไปด้วย ก็เลยไม่วายที่จะมีช่วงอ้วน ช่วงผอม ซึ่งแล้วแต่จุดเปลี่ยนของชีวิต ย้ายบ้าน หางาน ตกงาน ได้งาน ตกงานอีก บวกกับอาหารการกินของใหม่ เมืองใหม่ เป็นแม่บ้านเต็มตัว ทำกับข้าวอย่างเมามันส์ หนำซ้ำเป็นคนที่ทำแล้วกินเก่งสุดๆ ชอบแต่อาหารอ้วนๆ ของหวานยิ่งตัวดีเลยชอบมาก จนสามีเรียก"ควีนออฟของหวาน"เลยนะ  ทั้งหมดที่ว่ามา มันเป็นภาวะความเครียด ไปๆมาๆ หาตัวเองไม่เจอ ลืมตัวเมื่อเครียด แล้วก็กิน อ้วนแล้วก็ขี้เกียจ แล้วมันก็วกกลับมาที่เดิม คือ..น้ำหนักเกินจนเสื้อผ้าคับครั้งที่นับไม่ถ้วน เฮ้อ!!


ที่เล่าประสบการณ์บางส่วนให้ฟังก่อน เพราะจะบอกว่าเรียนรู้อะไรบ้างจากประสบการณ์เนี่ยแหละค่ะ ว่า"ที่ผ่านมาทั้งหมดทั้งมวล อยู่ที่ตัวเราเองทั้งหมด" ค่ะ ทำอะไรที่ผิดธรรมชาติร่างกายไป ก็คือเราทำร้ายตัวเราเองทั้งนั้น ซึ้งแล้วว่าเราควรปรับนิสัยเราต่างหาก ถึงจะทำได้ตลอดไป ซึ่งตรงนี้ เป็นสิ่งที่ยากมากเหมือนกัน ตัวแอนน์เองก็จะพยายามทำมันให้ดีที่สุดในทุกๆวัน ไม่อยากสัญญาอะไรกับตัวเองอีกแล้ว เพราะที่ผ่านมาพูดแล้ว กลืนน้ำลายตัวเองหลายทีแล้ว เอาเป็นว่าทำมันให้ดีทีสุดดีกว่า ไม่มีอะไรกดดัน จะได้มีความสุขกับมันเนอะ ^^




ณ วันนี้
                                   

น้ำหนัก ณ วันนี้ June 27, 2012 144 lbs หรือ 65.45 kgs


ทั่ว ไป...เวลาคนสนิทหลายคนแถวนี้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ และเขาคิดจะหาตัวช่วยมาลดน้ำหนักและไขมัน แอนน์ก็เลยเล่าได้อย่างภูมิใจว่า ชั้นไม่ได้ซื้อผลิตภัณฑ์ไรเลย อาหารที่ชั้นกินทุกวัน จ่ายตังค์พอๆกันกับทุกๆวัน ชั้นแค่เลือกกินมันแค่นั้นเอง ชั้นได้กำไรอีกต่างหาก ตรงที่ชั้นมีสุขภาพที่ดีขึ้น สบายท้องไม่ต้องซื้อกากใยอะไรมากินเหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว แถมยังน้ำหนักค่อยๆลดลงไปอีกต่างหาก แล้วมันยังแปลกด้วยนะที่การออกกำลังกายทำให้อารมณ์ดีขึ้น อันนี้รู้สึกกับตัวเองจริงๆค่ะ


ตัวเอง...ครั้งนี้จบลงด้วย การลดแบบไม่เครียดเหมือนก่อนๆ ไม่ขนขวายหาตัวช่วย แต่ใช้วิธีปรับนิสัยการกินอาหารแทน จากแรกๆจะเกือบท้อว่าทำไมไม่ลดซะที จนเวลาผ่านไป ขี้เกียจยุ่งกะมัน กินแบบที่แอนน์เรียกว่าดีๆเนี่ยเป็นชีวิตประจำวันไปเลย และบอกตัวเอง ชั้นจะทำแบบนี้แหละตลอดชีวิต แล้วพอลืมมันไปสักพัก ไม่กี่วันก่อนที่บ้านจะมีการาจเซล เลยไปเลือกเอาเสื้อผ้าที่คิดว่าใส่ไม่ได้มาหลายปีแล้ว เลือกไปขายซะ มันนอนอยู่ในตู้จะผุเอา ก็เลยเอาเสื้อผ้าออกมากองเต็มห้อง เลือกกันทีละตัวเลยทีเดียว ปรากฎว่า ใส่เสื้อผ้าที่เคยซื้อไว้และหวังว่าสักวันจะใส่ได้ ซึ่งบางตัวไม่เคยใส่ได้มานานกว่าห้าปีเลยทีเดียว วันนี้ใส่มันได้ ก็เลยจับกล้องขึ้นมาถ่ายรูปลองดูว่าไปถึงไหน เพราะไม่ได้ถ่ายจริงจัง เพราะคิดว่ามันยังไม่ลดไปถึงไหน ตัวเราเองไม่รู้ตัวไง แต่พอถ่ายรูปออกมาเทียบดู โห..เปลี่ยนไปจริงๆด้วยอ่ะ  ตอนนี้ใส่เสื้อผ้ามั่นใจขึ้นกว่าเดิมหน่อยนึง และสุดท้ายคือ ประหยัดเงินในทุกๆทางจริงๆ อาหารก็ซื้อราคาเดิมๆ แถมยังไม่ต้องเสียเงินซื้อเสื้อผ้าใหม่ ได้เสื้อผ้าที่มีอยู่ใส่ได้อีกทีแล้ว  เพราะฉะนั้น อย่าไปเครียดกะเวลามากค่ะ ปล่อยๆมันไป กินดี ทำดีไปทุกๆวัน ออกกำลังกายสม่ำเสมออย่างถูกต้อง แล้วผลก็จะมาเองค่ะ


ถือว่าวันนี้สำเร็จไประดับนึงค่ะ ^^

อาหาร
กินทุกอย่างเหมือนครอบครัวเวลาไปไหนมาไหนกะเค้า แต่อยู่บ้านคนเดียวก็เลือกกินแป้ง ดี ไขมันชนิดดี เน้นผักทุกมื้อ ผลไม้ระหว่างมื้อ บางทีก็แครกเกอร์ ชีส กะผลไม้ ตอนเย็นเน้นผักต้ม เนื้อต่างๆเท่าฝ่ามือ ตัดมันออกให้มากที่สุด สลัดใหญ่ใส่เนื้อบ้าง ไม่ใส่บ้าง บางทีก็ใส่ไข่ บางทีก็ทำสมูตตี้ผักผลไม้แก้วใหญ่ดื่มแทนอาหารเย็น เพราะบางทีออกกำลังกายค่ำไปหน่อยก็จะเป็นแก้วเดียวแทนมื้อเย็นกับอาหารหลังออกกำลังกายที่ใส่กรีกโยเกิร์ต สิ่งต่างๆที่มีคุณค่าสำหรับกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกาย วันไหนที่ไปกินกะครอบครัว พยายามไม่ลืมตัวกินเยอะเกินไป ถ้าวันไหนกินเยอะหน่อย ก็พยายามมื้อต่อไปเรียกตัวเองกลับมาเป็นเหมือนเดิมให้ได้ แต่สิ่งที่ดีที่สุดก็คือการทานให้พอดี

ออกกำลังกาย
อันนี้คงแล้วแต่ครอบครัวใครอ่ะเนอะ ที่บ้านเนี่ยหน้าร้อนพี่เคลย์เขา ชอบไปวิ่งที่พาร์ค แอนน์ก็จะไปเป็นเพื่อนกัน เหมือนเป็นกิจกรรมครอบครัว แต่เราแค่จ๊อกเบาๆ ราวๆ สามไมล์โดยรวม หรือไม่ก็ทำบอดี้เวทระหว่างรอพี่เคลย์วิ่ง ถ้าวันไหนร้อนจนไม่ไหวแล้วนะ ส่วนวันที่เราไม่ได้ไปวิ่ง แอนน์ก็จะออกกำลังกายกับเทป ซึ่งมันจะคล้ายๆกันกับบอดี้ร๊อคของแอน ซึ่งเขาพาเราเริ่มตั้งแต่วอร์มอัพ แล้วก็เต้นออกกำลังกายออกแนวๆคิ๊กบ๊อก ซิ่ง เสร็จคาดิโอ เขาก็ต่อด้วยเวท แล้วก็พวก pilates โยคะ คูลดาวน์ ใน 45-60 นาที แล้วแต่เทปที่แอนน์เลือก สลับกันไปตามอารมณ์กับปั่นจักรยาน(มีเครื่องที่บ้าน) อิลิปติคอล Wii Sport, dance หรือไม่ก็ไปดูหลานตีกอล์ฟก็ใช้วิธีเดินเอา ไม่นั่งรถกอล์ฟ พยายามห่างเนทนิดนึง เอาเวลามาแบ่งให้การออกกำลังกาย โดยเฉลี่ยแล้วแอนน์ออกกำลังกายประมาณ 5 วันต่อสัปดาห์ พักวันสองวัน คือพูดง่ายๆ แล้วแต่กิจกรรมครอบครัวอ่ะค่ะ








หายไปทั้งหมด 17 lbs หรือเกือบๆ 8 กก. ราวๆ 4 เดือน
ตั้งใจจะลดให้เหลือ 130 lbs หรือ 59 กก. ในเป้าหมายหลักอันแรกค่ะ
เพราะเป้าหมายหลักที่สองนี่ท่าจะยาว มันจะท้อซะก่อน หุๆ อยากหนักซัก 120-126 lbs ราวๆนี้อ่ะค่ะ หรือไม่เกิน 57 กก.

*ขอขอบคุณที่แอนน์มากนะคะที่สละเวลาเขียนประสบการณ์มาแบ่งปันกัน การลดน้ำหนักจริงๆนั้น ไม่ยากอย่างที่คิด ทุกอย่างอยู่ที่ใจ และการตัดสินใจทำ ตั้งใจทำให้ดีที่สุด ถือว่ามันเป็น Journey นะคะ อาจจะมีล้มบ้าง พักบ้าง ก็ให้กำลังใจตัวเองเยอะๆ ล้มแล้วให้ลุกขึ้นเดินต่อจากจุดนั้น ไม่ใช่ว่าเริ่มต้นจากศูนย์ 
ที่สำคัญอยากให้ทุกคนที่ได้อ่านบล็อกนี้คิดว่า การลดน้ำหนัก มันเป็นแค่จุดเริ่มต้น ไม่ใช่จุดสิ้นสุด  น้ำหนักเราลดอย่างพอใจแล้ว แต่อย่าหยุดแค่นั้น เพราะมันจะมีแต่กลับไปสู่เส้นทางเก่าๆ นิสัยการกินเก่าๆ เดินหน้าต่อไป ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ทานอาหารที่ดีบำรุงสุขภาพของเรานะคะ
ได้อ่านแล้วคิดว่าเป็นประโยชน์กับคนรู้จัก แชร์ต่อๆกันไปได้นะคะ ของดีๆแบบนี้ ไม่หวงห้าม :)

** ถ้าเพื่อนๆมีเรื่องราว ประสบการณ์แบบนี้ อยากแบ่งปันเพื่อเป็นความรู้ให้ผู้อื่น สามารถส่งมาได้ที่อีเมล์นี้นะคะ dropdeadhealthy@yahoo.com แล้วแอนจะนำเรื่องลงที่บล็อก


ขอบคุณที่ติดตามอ่านนะคะ
แอน

ติดตามอัพเดทของบล็อกได้ทาง Drop Dead Healthy Facebook Page


Thursday, July 5, 2012

Diet mistake Part 1 ข้อผิดพลาดเรื่องโภชนาการ...ที่เรา(อาจจะ)ทำโดยไม่ตั้งใจ ตอน 1

สวัสดีค่ะ

ช่วงหน้าร้อนนี้ สาวๆหลายๆคนพยายามลดน้ำหนัก ลดสัดส่วน แต่เคยเอะใจบ้างมั้ยคะว่า เออ เราทำแบบนี้มาได้พักนึงแล้ว ทำไมมันไม่ค่อยเห็นความเปลี่ยนแปลงเลย หรือไอ้ที่ลดๆไป มันหยุดอยู่กับที่  ออกกำลังกายก็ออกแล้ว เรื่องอาหารการกินก็ อืม...ควบคุมดีนี่นา ลองอ่านตรงนี้ดูนะคะ อะไรๆที่เราคิดว่าทำถูกมาตลอด มันอาจจะไม่เป็นอย่างที่เราคิดในแง่ความเป็นจริง



จากบล็อกแรกๆที่เขียนไว้ วันนี้แอนขอเอาประสบการณ์ตัวเองที่เคยทำ แล้วมันเป็นข้อผิดพลาดเกี่ยวกับเรื่องโภชนาการมาแชร์ให้อ่านกันนะคะ จะแบ่งเป็นตอนย่อยๆ เพราะมันยาว เดี๋ยวคนอ่านจะปวดลูกตา ตาลายได้ :)

ข้อผิดพลาดข้อที่ 1 Fat free food trap


เวลาซื้อของที่ซุปเปอร์ เห็นแพ็คเกจอาหารเหล่านั้นมั้ยคะ ส่วนมากจะเขียนว่า Fat-free food /Nonfat/Reduced fat/Light  ถ้านึกไม่ออก แอนมีตัวอย่างอาหารเหล่านั้นมาให้ดู

เนยถั่วแบบนี้ ไม่ว่าจะแบบ Reduced fat หรือแบบธรรมดา เป็นเนยถั่วแบบ Refined มันจะมี Partially hydrogenated oil ลงในส่วนผสม น้ำมันแบบที่ว่านี้ เป็น trans fat แม้ในฉลากจะบอกว่า 0 แต่จริงๆ คือ 0.5 มันยังมี แต่ FDA (คล้ายๆ อย. บ้านเรา) มีข้อยกเว้นว่า หากไม่ถึง 1 ให้ใส่ค่าเป็น 0 ได้...อ้าว แบบนี้ก็บิดเบือนผู้บริโภคชัดๆ แต่ผู้บริโภคอย่างเราต้องฉลาด รู้ทัน นะคะ นอกจากเนยถั่วแล้ว พวกครีมที่ใส่กาแฟ อย่างคอฟฟี่เมต ก็มีเช่นกัน


 น้ำสลัดที่ขี้นชื่อว่า Light มักจะใส่พวก สารกันบูด หรือสารอื่นๆ น้ำสลัดแบบขวด ไม่มียี่ห้อไหน ใช้ 100% olive oil นะคะ ส่วนมากจะผสม soybean oil, canola oil ลงไป สู้เราทำเองดีกว่า

 อย่าหลงเชื่อกับโยเกิร์ตไร้ไขมันตัวนี้ เพราะเค้าใส่สารแอสปาแตมลงไปแทนน้ำตาล แล้วก็ไม่ได้บอกว่า ให้หันไปทานแบบ orginal อันนั้นก็แย่พอๆกัน ถ้วยเล็กๆ น้ำตาล 27 กรัม เท่ากับโคคา โคล่า แก้วนึงเลยนะคะ




หลายๆคนพอเห็นป้ายบอก "low fat","fat free","reduced fat" etc....  ปุ๊ป หยิบลงตะกร้าปั๊ป ดีใจ เฮ้ย ไม่ต้องเพิ่มไขมันในร่างกายแล้ว แต่....เคยพลิกดูฉลากโภชนาการ(nutrition label) มั้ยคะ ว่าส่วนผสม/ส่วนประกอบมีอะไรบ้าง หรือว่าดูแต่แคลอรี่ ??

สำหรับแอน อาหารพวกนี้มันคือ fake food อาหารที่เค้าตัดไขมันออก มันผ่านขั้นตอนกรรมวิธี เรียกอีกอย่างก็คือ processed food  แล้วก็ไม่ได้หมายความว่า แคลอรี่จะต่ำตามลงนะคะ อาหารเหล่านี้เค้าจะใส่พวกน้ำตาล สารให้ความหวาน เกลือ สารกันบูด สารเคมีต่างๆลงไปเพื่อกลบเกลื่อนรสชาด(อะไรที่ทำให้อาหารอร่อย...ไขมันนั่นเอง)สารเคมีเหล่านี้ บริโภคติดต่อกันเวลานาน มีแต่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นตัวกระตุ้นให้ก่อเซลล์มะเร็ง เสี่ยงต่อโรคเบาหวาน ความดันสูง ฯลฯ  แคลอรี่ก็เท่าเดิม อีกอย่าง เมื่อเราบริโภคอาหารจำพวกนี้เป็นเวลาติดต่อกัน มันจะไปป่วนระบบการย่อยอาหารของเรา เพราะอาหารพวกนี้ไม่มีไขมัน หรือมีน้อยมากๆ ไขมันเป็นตัวทำให้เรารู้สึกอิ่มท้องได้นานนะคะ เมื่อบริโภคไม่เพียงพอ เราจะรู้สึกโหย ไม่อิ่ม หิวบ่อย พอไม่อิ่ม หิวบ่อย ก็กินเยอะขึ้น บ่อยขึ้น = น้ำหนักขึ้น นั่นเอง

ความสำคัญของไขมัน(ไขมันที่แอนพูดหมายถึง กรดไขมันจำเป็นนะคะ มีอะไรบ้าง อ่านได้ที่นี่
สูตรไดเอ็ทที่ดีที่สุด)  อีกอย่างก็คือ ร่างกายเรานั้นต้องการไขมันเพื่อที่จะรักษาสมดุลของเซลล์ รักษาร่างกายให้อบอุ่นในหน้าหนาว  โอเมก้า 3 ที่มีในพวกแซลมอน ถั่ววอลนัท เป็นตัวช่วยปรับอารมณ์ของเรา ทำให้ไม่เครียด ไม่หงุดหงิดง่าย ไขมันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตเรานะคะ อย่าตัดเด็ดขาดไปเลย
วิธีแก้ไข ไม่ยากเลยค่ะ .ในอาทิตย์นึง ควรทานอาหารจำพวกไขมันที่เป็น Whole food ได้แก่ ไข่ทั้งใบแบบ free range, น้ำมันมะกอก น้ำมันมะพร้าว น้ำมันวอลนัท อโวคาโด้ ถั่วไม่อบชนิดต่างๆ เนยถั่วแบบ All natural นมสดแบบ organic จะ whole milk/low fat ก็ได้ โยเกิร์ตแบบ low fat (
สูตรโยเกิร์ตทำเองง่ายๆ)  ปลาแซลมอน ปลาซาร์ดีน ฯลฯ ทานอาหารเหล่านี้คู่กับ ผัก ผลไม้ โปรตีน ทานเป็นประจำซะ 80%-90% ที่เหลืออีก 20%-10% เราแบ่งไว้พวกอาหารที่เราชอบ หรืออยากทาน Have your cake, and eat it too!! ถ้าจะทานเค้ก พาย ไอติม ก็เลือกเป็นแบบ homemade หรือซื้อเจ้าที่ชอบ เช่น สลัดเดรสซิ่งทำเองที่มีน้ำมันมะกอก น้ำเลมอน น้ำผึ้ง เปรี้ยวๆหวานๆ ราดบนผักสลัด(ดูสูตรน้ำสลัด), ไอศครีมรสโปรดสกู๊ปเล็กๆ, สตรอเบอรรี้ดิพดาร์คช็อกโกแล็ต 3-4 ลูก อืมๆๆ...เขียนๆไปชักน้ำลายไหลเอง :) เราทานแบบนี้ ดีกว่า fake food ของรสชาดจืดชืดๆ กินให้เสียอารมณ์ จริงมั้ยคะ
ข้อผิดพลาดข้อที่สอง Healthy Food
ข้อนี้หลายๆคนอาจจะสงสัย ทำไมอาหารเพื่อสุขภาพ มันจะไม่ดีได้ยังงัย??

ลองวาดภาพตามดูนะคะ สมมุติ กลางวันนี้จะทำอะไรทานดี pasta alfredo?? Burger?? French fries?? แกงเขียวหวานราดข้าว?? ข้าวกะเพราหมูกรอบ?? หิม แต่ล่ะอย่าง อ้วนๆทั้งนั้น...ทำเมนูสุขภาพดีกว่า ข้าวกล้องนะคะ ตักใส่จาน ไม่ต้องตวงหรอก  น้ำมันมะกอกใช้เข้าไป เป็นช้อนๆก็ได้ เพราะมันดีต่อสุขภาพนี่นา อะไรที่ขึ้นชื่อว่า " เพื่อสุขภาพ" ,"Healthy" หรือแม้ว่า "organic" ของดีๆแบบนี้ กินได้ไม่อั้น ไม่ต้องห่วงว่า น้ำหนักมันจะขึ้น....ใครเคยอยู่ในสถานการณ์แบบนี้บ้าง


  




น้ำหนักขึ้นได้นะคะ ถ้าเรายังกินไม่ลืมหูลืมตา แม้กระทั้งของที่ดีต่อสุขภาพ เพราะยังงัยๆ bottom line แคลอรี่ก็ยังคือแคลอรี่ จริงอยู่ว่า ข้าวกล้องดีกว่าข้าวขาว แต่ถ้าเราทานอย่างไม่จำกัด ทานเกินที่ร่างกายจะนำไปใช้ แคลอรี่ที่เหลือนั้นก็จะถูกกักเก็บเป็นไขมันส่วนเกิน เห็นมาเยอะแล้ว(รวมทั้งตัวเองด้วย) ที่ทานแบบไม่ยั้ง เพราะคิดว่า น้ำหนักจะขึ้นได้งัย ของเฮลท์ตี้แบบนี้                                                   

วิธีแก้ไข 


1. อ่านฉลากโภชนการ ดู serving ว่า อาหารนี้ 1 serving มีปริมาณเท่าไหร่ กี่แคลอรี่...ถามตัวเองดูสิคะว่า มีกี่ครั้งที่พลิกดูฉลากโภชนาการ
2. เมื่อรู้แล้วว่า 1 serving มีปริมาณเท่านี้ ใช้อุปกรณ์ตวง ตวงนะคะ ช้อนชา, ช้อนโตะ, 1/4 ถ้วย, 1 ถ้วย อย่ากะๆเอา คนที่ไม่คุ้นกับการตวงอาหาร จะไม่สามารถกะด้วยตาเปล่าได้ว่า น้ำมันมะกอก 1 ช้อนชา นั้นมีปริมาณแค่ไหน อย่าขี้เกียจ กะๆเอาก็ได้ เผลอๆเท ปาไป2 ช้อนโต๊ะ ขี้เกียจตักคืนอีก กินๆไปเหอะ เห็นมั้ยคะ เผลอเอาแคลอรี่เข้าร่างกายเกิน โดยไม่จำเป็น 2 ช้อนโต๊ะน้ำมันมะกอก = 240 kcal
3. ตวงแล้ว ก็แยกมาใส่จาน/ชาม ทานต่างหาก อย่ากินจากถุง/กล่อง
ยกตัวอย่างจากข้อ 3 ง่ายๆ คือ ถั่วอัลมอนด์หรือถั่วแบบอื่น ส่วนมากมาเป็นถุง หรือกระป๋อง ส่วนมากเนี่ย เราเปิดฝาแล้วกินจากกระป๋องเลยใช่ป่าว
กินหน้าทีวีบ้าง อ่านแม็กกาซีนไปกินไปบ้าง ไม่ก็ทำงานไป มือหยิบเข้าปากไป กินไปก็ไม่ได้นับหรอกว่า กินไปแล้วกี่เม็ด แถมเพลินจัด อ้าว ปาไปครึ่งกระป๋องแล้วช้านนนน (ปลอบใจตัวเอง ไม่เป็นไรน่า มันเป็นไขมันที่ดี >_<   ) ถั่วอัลมอนด์ 1 serving คือ 1/4 ถ้วย หรือประมาณ 20-24 เม็ด นะคะ เพราะฉะนั้น อย่า mindless snacking หรือทานแบบไม่มีสติ

มีวิจัยตีพิมพ์ใน Journal of Consumer Research นะคะว่า คนที่สั่งอาหารจากเมนูเพื่อสุขภาพนั้น จะบริโภคเกินความจำเป็นของร่างกาย 44% สรุปก็คือ อ่านฉลากโภชนาการ และ portion control หรือควบคุมปริมาณให้พอเพียง....ไม่ยาก เกินความสามารถใช่มั้ยคะ

ตอนที่ 2 จะตามมาเร็วๆนี้ อย่าลืมติดตามอ่านกันนะคะ ถ้าคิดว่าบล็อกนี้เป็นประโยชน์กับเพื่อนๆหรือคนรู้จัก  แชร์ให้อ่านได้นะคะ ไม่หวงห้าม :) เพื่อนๆมีประสบการณ์แบบนี้สามารถแบ่งปันเป็นความรู้ ข้อเสนอแนะ ข้อคิดเห็น โพสท์ได้ที่คอมเม้นท์ด้านล่างนะคะ

ขอบคุณที่ติดตามค่ะ

แอน
คิดคามอัพเดทบล็อกได้ทาง
Drop Dead Healthy Facebook Page