Pages

Sunday, December 16, 2012

(แสร้งว่า)ไก่ชุปแป้งอัลมอดน์ทอด Better than McDonald Chicken Fingers

สวัสดีค่ะ

วันนี้วันอาทิตย์ ได้หยุดอยู่กับบ้านบ้าง เมื่อวานออกไปตะลอนๆ หาซื้อของขวัญคริสมาสต์กับสามี เดินกันขาขวิดเลยอ่ะค่ะ คนก็เยอะ แต่ว่ารายการลดแลก แจกแถม ก็เยอะแยะตาม กระเป๋าแฟ่บไปอีก lol ฝรั่งนี่ทำงานกันทั้งปีทั้งชาติ เซฟไว้เพื่อตอนคริสมาสต์นี่แหละ ยิ่งครอบครัวไหนมีลูกแล้วเนี่ย Christmas list ยาวเหยียดเป็นหางว่าวเลย

อาทิตย์นี้มีเมนูอาหารเพื่อสุขภาพที่ผู้ใหญ่ทานได้ เด็กๆทานดี มาฝากชาวบล็อกนะคะ :)
ไอเดียเมนูนี้ได้มาจากกากอัลมอนด์ที่เหลือจากทำนมอัลมอนด์นี่เอง ใช้ทำได้อาหารคาวและหวาน
สำหรับคนที่ดูแลเรื่องอาหาร อาหารพวกไก่ทอด อย่าง chicken fingers คงจะไม่มีอยู่เมนูใช่ป่าวคะ อะฮ้า แต่วันนี้ขอน้ำเสนอเมนูแสร้งว่าไก่ทอดนี้นะคะ อยากให้ลองทำสูตรนี้ดู ทำง่าย ไก่ไม่แหวกว่ายในน้ำมันแล้วเนี่ย เป็นเมนูที่เด็กๆชอบด้วย ดีกว่าทำพวกไก่ชุบแป้งทอด หรือซื้อไก่ทอดฟาสฟู้ดให้ลูกทาน ในความคิดแอน แม่ทานยังงัย ลูกก็ควรจะทานแบบแม่นะ ไม่ใช่ เออ แม่ทานอาหารดีๆ คลีนๆ แต่ลูกกินงัยก็ช่าง เพราะเห็นว่ายังเด็ก กินไปเหอะ ไม่อ้วน...แต่ของแบบนี้ควรปลูกฝังกันตั้งแต่เล็กๆ แล้วอาหารที่ดีมีประโยชน์ ยังงัยก็ดีกับสุขภาพร่างกายลูกเรากว่าพวกอาหารขยะอยู่แล้ว

ของที่ต้องเตรียม

สำหรับ 1 ที่ (ผู้ใหญ่) หรือ 2 ที่ (เด็ก)

อกไก่หั่นชิ้นยาวๆ หรือ สันในไก่ 4 ชิ้น ชิ้นละ 1 ออนซ์
กากอัลมอนด์/Almond meal* 1/3 ถ้วย หรือมากกว่า สูตรนมอัลมอนด์ทำเอง
แป้งโฮลวีต 1/4 ถ้วย
กระเทียมผง 1 ชช.
หอมผง 1 ชช.
พริกปาปริก้าป่น 1 ชช.
Dry mustard 1/4 ชช.
พริกไทยป่น เกลือนิดหน่อย
น้ำมันมะพร้าว/น้ำมันมะกอก 2 ชช.
ไข่1 ฟอง

* ถ้าใครไม่มีกากอัลมอนด์ หรือ Almond meal ให้เอาอัลมอนด์สไลด์ 1/2 ถ้วย ใส่โถปั่น รวมกับแป้ง ปั่นให้ละเอียดๆ หรือถ้าใครไม่มีโถปั่น จะให้แป้งโฮลวีตอย่างเดียวก็ได้นะคะ แต่ต้องเพิ่มจำนวนแป้งมากขึ้น

วิธีทำ
1. เอาของแห้ง คือ กากอัลมอนด์ ,แป้งโฮลวีต(ถ้าจะทำแบบกลูเต็นฟรี ให้ตัดแป้งออกไป)
ผสมรวมกันในชามอ่าง/จาน
2. เอาส้อมตีไข่ขาวให้ฟูนิดๆ ใส่ไก่ลงไป ตามด้วยเครื่องปรุง (เกลือ, พริกไทย,กระเทียมผง,หอมผง,ปาปริก้าป่น, dry mustard) คลุกเคล้าให้เข้ากัน
3. เอาไก่คลุกกับส่วนผสมของแป้งและอัลมอนด์ ประแป้งไก่ให้ทั่วนะคะ
4. กระทะแบบ non-stick ตั้งไฟกลาง ละลายน้ำมันมะพร้าว 2 ช้อนชา หรือใช้น้ำมันมะกอกก็ได้เช่นกัน พอน้ำมันร้อน เอาไก่ลงทอด ข้างละ 2-3 นาที หรือจนเหลืองๆ พลิกกลับ ทอดต่อจนไก่สุก

เรียบร้อยแล้วค่ะ ใช้น้ำมันมะพร้าวทอด กลิ่นมะพร้าวอ่อนๆ เหมือนกับ coconut chicken เลยล่ะ

ใน 1 ที่ สำหรับผู้ใหญ่ จะได้
โปรตีน 27 กรัม ไขมัน 10  กรัม คาร์บ 4 กรัม
โดยประมาณนะคะ

ส่วนวันนี้ แกล้มกับบร็อคโคลี่นึ่ง 1 ถ้วย ใช้เวลานึ่งประมาณ 3 นาทีครึ่ง ไม่แนะให้ต้มผักนะ เพราะการต้ม วิตามินเช่น วิตามินซี(บร็อคโคลี่มีวิตามินซี) มันจะละลายหายไปกับน้ำหมด


บีบน้ำเลมอนลงบนบร็อคโคลี่ด้วย การทานผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง พร้อมกับผักสีเขียวที่มีแคลเซี่ยม เช่นบร็อกโคลี่  ร่างกายเราจะดูดซึมแคลเซี่ยมได้ดีขึ้น ถ้าไม่มีเลมอน ทานกับส้มก็ได้นะคะ

เช่นเดียวกันกับน้ำมัน แอนไม่เป็นแฟนพวก Low fat น่ะ เพราะว่า ร่างกายเราต้องการไขมันที่ดี(ทั้งนี้ควรบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะ) กรดไขมันที่ดีช่วยในการดูดซึมวิตามินที่ละลายในไขมัน ซึ่งได้แก่ A,D,E,K ผักใบเขียว มีวิตามินเอ วิตามินเค เยอะ ไขมันพวกน้ำมันมะพร้าว น้ำมันมะกอกที่เราใช้ปรุงอาหาร มันช่วยให้ร่างกายเราดูดซึมวิตามินพวกนี้ได้นะคะ ลองอ่านประโยชน์ของน้ำมันมะพร้าวจากบล็อกนี้ดู
น้ำมันมะพร้าว ไม่ได้มีไว้เพื่อผิวสวยอย่างเดียว

อาหารที่แปะป้ายว่า Low fat/ Fat free  มักจะใส่พวกน้ำตาล หรือสารเคมีอื่นๆลงไปเพื่อกลบเกลื่อนรสชาดที่แหลกไม่ล่าย lol ลองอ่านบล็อคนี้ดูนะคะ ข้อผิดพลาดเรื่องโภชนาการ ตอนที่ 1

อันนี้เป็นเวอร์ชั่นใส่มะพร้าวแห้งจืด( unsweetened coconut flakes)

                               

นี่ก็เป็นอีกสูตรนึงที่พิสูจน์ให้เห็นนะว่า การทานอาหารเพื่อสุขภาพเนี่ย มันไม่จำเป็นต้องเป็น ไก่ต้ม บร็อคโคลี่ต้มเสมอไป ทานให้หลากหลาย สนุกกับการดัดแปลงรสชาดตามที่เราชอบ :)

ขอบคุณที่ติดตามค่ะ

แอน

ติดตามอัพเดทของบล็อกได้ทาง Drop Dead Healthy Facebook Page

Saturday, December 15, 2012

12-Week Lifting Week 11-Week 12 Day 2

สวัสดีค่ะ

มาแล้วค่ะวันที่ 2 lol ค่อยๆกระดึ๊บๆ ทำคลิปไว้ตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว เพิ่งจะได้มีเวลานั่งตัดต่อวันนี้

วันนี้ตื่นมาแต่เช้าตรู่(เดี๋ยวสงสังหิมะคงตกแน่ๆ) ตั้งแต่ตี 4:45 ตั้งใจเป็นมั่นเหมาะเมื่อคืนว่า จะตื่นมาออกกำลังกายตอนเช้า เพราะเมื่อวาน มัวแต่ช่วยลูกสาวทำงานโปรเจ็คส่งโรงเรียน กว่าจะเสร็จก็เกือบทุ่ม ทำข้าวเย็นให้ลูกสองคนเสร็จ...ไปๆมาๆ เลยเบี้ยวออกกำลังกายเลย :P ช่วงนี้เป็นแบบนี้บ่อย จนรู้สึกว่า เราหย่อนๆเรื่องการเทรนไปนิดล่ะ แอนเป็นพวก control freak นิดหน่อยน่ะค่ะ(แหะๆ พยายามลดๆลง) ทุกอย่างมันมีข้อดีข้อเสียในตัวของมันนะ อย่างข้อดีคือ ทุกอย่างวางแผนล่วงหน้าไว้แล้ว ไม่ว่าจะตารางออกกำลังกาย ทำอาหารเผื่อล่วงหน้า มันช่วยให้การฝึก การทานอาหารแบบคลีน เป็นไปอย่างง่ายขึ้น เรามีระเบียบวินัยมากขึ้น พอทำตามแผนได้ จะรู้สึกโอเค
แค่ข้อเสียคือพอมีเหตุที่ให้หลุด เช่นช่วงที่ผ่านมา ไหนจะมีเรื่องต้องให้ออกนอกบ้าน ธุระเยอะแยะทั้งของลูกของตัวเอง  ลูกไม่สบายกันบ่อย นอนไม่พอ เหนื่อยหมดแรง ไม่ได้ออกกำลังกายตามแผนที่วางไว้ พอมันบ่อยขึ้น รู้สึกจิตตก แง่มๆ...ต้องเตือนตัวเอง ปล่อยหย่อนไปแล้ว ไม่ได้แล้วนะ ลูกหายป่วยแล้ว ต้องปรับตารางใหม่

ตอนนี้เลยปรับมาเป็นออกช่วงเช้าก่อนลูกตื่นแทน วันนี้วันที่ 2 ของอาทิตย์นี้นะที่ดันก้นตัวเองลุกจากที่นอนได้ แต่แปลกอย่างนึงคือ เมื่อคืน นอนแต่สี่ทุ่ม(ปรกติอ้อล้อหน้าคอมอยู่ยันเที่ยงคืนมั่ง ตีสองมั่ง) นาฬิกาปลุกดังปุ๊ป ลุกได้ไม่มีอิดออดนะ ถ้าเทียบกับนอนเที่ยงคืน ตื่นเจ็ดโมง ตื่นมายังง่วงๆอยู่เลย แม้ว่าจะระยะเวลานอนเท่ากัน

ล้างหน้าล้างขี้ตาแล้ว ปลุกอารมณ์ให้ฮึกเหิมด้วย กาแฟร้อนๆ หอมกรุ่น ใส่น้ำมันมะพร้าวไปช้อนเล็กๆ ทำไข่ดาวทอด 2 ฟอง พร้อมกับ BCAA เม็ดนึง ทานรองท้องให้มีแรงเพราะเวทวันนี้เป็นพวกวิดพื้น ดึงข้อ เดี๋ยวจะเดี้ยงก่อนถ้าท้องว่าง



ตั้งใจว่าจะทำแบบนี้ให้ได้สัก 2 อาทิตย์ ให้รู้สึกไม่ฝืนตัวเอง ทำให้มันกลมกลืนไปเป็นกิจวัตรประจำวัน แล้วมันจะง่ายขึ้นนะคะ ความคิดแอนนะ เวลาเราเริ่มอะไรใหม่ๆ เช่น การทานอาหารเพื่อสุขภาพ ทานข้าวกล้องแทนข้าวขาว ผลไม้ให้เยอะขึ้น ขนมหวานน้อยลง การเริ่มออกกำลังกาย ฯลฯ ควรทำ"พฤติกรรมใหม่" โดยเลือกมาอย่างนึงก่อน อย่าเพิ่งประโคมใส่หลายๆอย่าง เดี๋ยวมันจะรู้สึก overwhelming โอวว เยอะไป รับไม่ทัน lol ทำให้สม่ำเสมอ อย่างน้อยสัก 2-3 อาทิตย์ พอเรารู้สึกไม่ฝืนแล้วเนี่ย ก็เริ่มการเปลี่ยนแปลงใหม่อีกอย่างได้ ค่อยเป็นค่อยไปนะคะ baby steps เอา

พาออกทะเลจีนไปเลย เข้าเรื่องเวิร์คเอาท์วันนี้ค่ะ

วันที่ 2 ก็ยังคงเป็น Total body นะคะ แอนรู้สึกว่า อาทิตย์สุดท้าย คนจัดตารางเค้าจะเอาพวก metabolic,compound exercises มาผสมมากขึ้น แอนชอบน่ะ สนุกกว่ายกเวทเฉยๆ เหงื่อออกเยอะ สะใจดี:)

Day 2 + Cardio HIIT 20 minutes

1. Jump Squat & Reach  4 เซ็ท เซ็ทละ 20 ครั้ง
2. Plank Hold with Shoulder Taps  3 เซ็ท เซ็ทละ 30-50 ครั้ง
3. Bent Over Dumbell Row 3 เซ็ท เซ็ทละ 12 ครั้ง
4. Military Push ups 3 เซ็ท เซ็ทละ 12 ครั้ง...โมดิฟายท่าได้นะคะ
5. Deep Lunge & Knee Up 3 เซ็ท เซ็ทละ 12 ครั้ง/ข้าง
6. Squat Thrusts 3 เซ็ท เซ็ทละ 20 ครั้ง

คำอธิบาย ทำแต่ละท่าให้ครบตามจำนวนครั้งที่ระบุในเซ็ทนั้นๆ พัก 60 วินาทีระหว่างเซ็ท ทำให้ครบ 3 เซ็ท(หรือ 4 เซ็ท) แล้วจึงเริ่มท่าถัดไป

อุปกรณ์
1. สมุดจด
2. นาฬิกาจับเวลาตอนพัก
3. ดัมเบลล์
4. ใจที่เต็มร้อย :)

คลิปอธิบาย



ขออภัยอีกทีตรงนี้ด้วย ที่คลิปมันเสียงหาย แก้ไม่ได้จริงๆ เพราะก่อนเซฟ เสียงงัยมี พอเซฟเสร็จ จะเอามาตัดต่อ เสียงหายไปเรียบร้อย :(

แอนอธิบายเรื่อง Jump squat ไว้แบบนี้นะคะ

Jump squats ถือว่าเป็น Plyometrics หรือ Jump training การฝึกแบบนี้ จะช่วยเพิ่มความทนทาน ความแข็งแรง ความรวดเร็วของกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อจะหด และขยายตัวอย่างฉับพลัน เป็นการฝึกแบบระเบิดกล้ามเนื้อ( explosiveness) พวกนักกีฬาเค้าจะผสมผสานการฝึกแบบนี้เข้าไปด้วย เพื่อเพิ่มสมรรถภาพกล้ามเนื้อในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกีฬานั้นๆ เช่น นักกีฬาฟุตบอล วอลเลย์บอล บาสเก็ตบอล นักวิ่งกระโดด ฯลฯ
ส่วนท่า Plank อย่างที่แอนบอกในคลิป แอนทำแบบเอาเท้าวางบนเก้าอี้ เพิ่มความยาก ทำเซ็ทละ 50 ครั้ง เซ็ทแรก ไม่เท่าไหร่ เซ็ท 2 เริ่มสั่นนิดๆตอน 10 ครั้งสุดท้าย ส่วนเซ็ทที่ 3 ต้อง dig deep ฮึบๆ สู้เว้ย อีกไม่กี่ครั้ง แอนนับทีละ 10 แบบ 10,20,30 --> 50 มันจะได้ดูไม่เยอะมาก วันรุ่งขึ้น ปวดหน้าท้องมากเลย....นี่ล่ะค่ะ การบริหารกล้ามหน้าท้อง มันไม่ได้มีแค่ซิทอัพอย่างเดียวนะ ทำให้หลากหลาย เก็บให้ทุกจุดเลย :)

อีก 2 อาทิตย์จะ คริสมาสต์แล้ว จะพยายามเอาอีก 2 วันที่เหลือมาลงนะคะ สู้ต่อไปนะคะทุกคน คนทำไม่ถอดใจอ่ะ ส่วนคนออก ก็อย่าเพิ่งถอดใจเน้อ

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ มีข้อแนะนำ ติชม บอกได้นะคะ จะได้เอาไปปรับปรุง

แอน

ติดตามอัพเดทของบล็อกได้ที่ Drop Dead Healthy Facebook Page

Thursday, December 13, 2012

น้ำมันมะพร้าว ไม่มีมีไว้เพื่อผิวสวยอย่างเดียว



1. มะพร้าวอุดมไปด้วยไวตามิน แร่ธาตุ และสารแอนตีอ็อกซิแดนท์ คนส่วนใหญ่มักได้รับไวตามิน แร่ธาตุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารแอนตีอ็อกซิแดนท์ ไม่เพียงพอสำหรับต่อสู้กับความเครียดของร่างกายในแต่ละวัน ดังนั้นอาหารใดก็ตามที่อุดมไปด้วยเอนไซม์ ไวตามิน สารแอนตี้ออกซิแดนท์ และแร่ธาตุ จึงนับว่าเป็นอาหารที่ดีต่อร่างกาย

2. น้ำมันมะพร้าวมี กรดไขมันสายกลาง( MCT หรือ Medium-Chain Triglyceride) ซึ่งทำให้โมเลกุลของน้ำมันมะพร้าวมีขนาดเล็กกว่าน้ำมันประเภทอื่น ซึ่งมีกรดไขมันสายยาว(LCT หรือ Long- Chain Triglyceride )ดังนั้น น้ำมันมะพร้าวจะถูกย่อยเร็วกว่า จะถูกส่งตรงไปที่ตับเพื่อเปลี่ยนเป็นพลังงาน ส่วนกรดไขมันสายยาวนั้นจะถูกส่งไปที่ตับเช่นกันแต่ต้องใช้กระบวนการที่อ้อมกว่า กรดไขมันสายยาวจึงเป็นไขมันที่มักสะสมทำให้อ้วนมากกว่าจะถูกนำไปใช้สร้างพลังงาน

3.มะพร้าวประกอบด้วยกรดไขมันสายปานกลางดังที่ได้กล่าวแล้ว กรดไขมันนี้จะช่วยให้ร่างกายดูดซับสารอาหารอื่นได้มากขึ้น หากรับประทานน้ำมันมะพร้าวควบคู่กับอาหารอื่น นอกจากจะช่วยระบบย่อยอาหารให้ทำงานดีขึ้นแล้ว กรดไขมันสายปานกลางในน้ำมันมะพร้าวจะช่วยให้ร่างกายดูดซับสารอาหารที่จำเป็น วิตามินที่ละลายในไขมัน A,D,E,K ได้ดีขึ้นซึ่ง เป็นผลดีอย่างมากกับผู้ที่มีอาการป่วยเรื้อรัง เจ็บปวดเรื้อรัง เช่นโรคอักเสบในทางเดินอาหารเรื้อรัง


4.สืบเนื่องต่อจากข้อ 2. น้ำมันมะพร้าวย่อยง่าย ไม่จำเป็นต้องใช้เอนไซม์จากตับอ่อนเป็นตัวช่วยย่อย พูดอีกนัยหนึ่งเมื่อเรารับประทานอาหารเข้าไป เราต้องใช้เอนไซม์ในร่างกายมาทำการย่อยอาหารเพื่อให้ร่างกายสามารถดูดซับสารอาหารที่จำเป็น ซึ่งแตกต่างจากการรับประทานน้ำมันมะพร้าว เพราะน้ำมันมะพร้าวอุดมด้วยเอนไซม์ในตัวเอง จึงทำให้ร่างกายประหยัดเอนไซม์ไว้ใช้งานอย่างอื่นเช่นซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ
5. น้ำมันมะพร้าวมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อไวรัส แบ็คทีเรีย และเชื้อรา จึงสามารถลดการเกิดโรคต่างๆและลดการติดเชื้อ สาเหตุสำคัญเป็นเพราะน้ำมันมะพร้าวอุดมด้วยกรดลอริค กรดคาปริลิค และกรดคาปริก ซึ่งกรดไขมันทั้ง 3 นี้ ไม่ว่าอยู่ในอาหารชนิดใด จะมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อโรค

6. น้ำมันมะพร้าวสามารถทนกับความร้อนที่อุณหภูมิสูง เราจึงสามารถใช้น้ำมันมะพร้าวปรุงอาหารจำพวก อบ ทอด ได้อย่างปลอดภัย แต่ขอให้ใช้น้ำมันมะพร้าวที่เป็นน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์( Extra Virgin)   อย่าใช้น้ำมันมะพร้าวที่เป็นน้ำมันมะพร้าวผ่านกรรมวิธี( refined) เนื่องจากน้ำมันถูกฟอกสี ดูดกลิ่น ผ่านความร้อนสูง สูญเสียคุณค่าหมด แม้จะเขียนไว้ที่ฉลากว่าใช้ได้ดีกับการทอดก็ตาม การใช้น้ำมันมะพร้าวที่เป็นน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์นั้นดีกว่าตรงที่เราจะได้ประโยชน์จากกรดไขมันสายปานกลางที่เราได้กล่าวมาแล้วอย่างเต็มที่ สำหรับความแตกต่างของน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์กับน้ำมันพืชบริสุทธิ์ชนิดอื่นๆคือ น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ทนต่อความร้อนสูง ส่วนน้ำมันพืชบริสุทธิ์อย่างอื่นนั้นไม่ จึงไม่ควรใช้น้ำมันชนิดอื่นปรุงอาหารที่ต้องใช้ความร้อนสูงเช่นการทอด เพราะประโยชน์ในน้ำมันจะสูญเสียไปและน้ำมันจะเกิดการอ็อกซิเดชั่นเป็นอนุมูลอิสระ ซึ่งความเสี่ยงเช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นหากใช้น้ำมันมะพร้าว

นอกจากนี้ น้ำมันมะพร้าวยังสามารถรับประทานสดๆ ผสมในเครื่องดื่ม หรือใช้ปรุงอาหารก็ได้ ซึ่งนอกจากคุณจะได้รสชาติที่อร่อยของน้ำมันมะพร้าวแล้วยังได้รับประโยชน์จากมันอีกด้วยค่ะ

แอนเอามาใส่กาแฟ ใช้ 1 ช้อนชา ใส่ออแกนิค  half-half ลงไปช้อนนึง เป็นกาแฟกลิ่นมะพร้าว หอมอร่อยดีค่ะ



ท้ายสุด น้ำมันมะพร้าวเป็นกรดไขมันแบบดี แต่ก็ยังถือเป็นแหล่งไขมัน แคลอรี่สูง 130 แคลอรี่ / 1 ช้อนโต๊ะ ควรบริโภคในปริมาณพอเหมาะ แล้วส่งผลดีต่อสุขภาพนะคะ

ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก

www.coconut-virgin.com
www.thai-health-advice.blogspot.com
www.naturalnews.com
Dr.Mercola- Coconut oil


ติดตามอัพเดทของบล็อกได้ทาง Drop Dead Healthy Facebook Page

Thursday, December 6, 2012

อะไรที่เป็นแรงจูงใจให้ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และอะไรช่วยผลักดันเมื่อรู้สึกไม่อยากออกกำลังกาย??

สวัสดีค่ะ

คำถามที่ได้รับจากกล่องข้อความ ซึ่งมาถูกเวลาเลย แอนขอตอบคำถามลงที่บล็อกละกันนะคะ

ตอบคำถามแรกก่อนนะ อะไรเป็นแรงจูงใจที่ทำให้ออกกำลังกายสม่ำเสมอ??

สำหรับแอน เมื่อก่อนที่เริ่มออกกำลังกายครั้งแรก เพราะอยากลดน้ำหนัก อยากหุ่นดีเหมือนเดิมก่อนท้อง  พอน้ำหนักแอนลดเกือบที่จะได้ตามเป้า มันก็เริ่มชะล่าใจ คิดว่า ลดแล้วนี่นา ไม่ต้องออกแล้ว ก็หยุดออกไป ผลคือ น้ำหนักที่ลดๆ มันเริ่มคืบคลายกลับมา
การที่อยากลดน้ำหนัก อยากหุ่นดีไม่ผิดนะคะ แต่เราควรหาเหตุผลหลักที่มันมั่นคงเป็นรากฐานรองรับ มองถึงอนาคตข้างหน้าด้วย มองภาพให้กว้างว่า พอน้ำหนักลดแล้ว ทีนี้จะทำยังงัย รักษาน้ำหนักยังงัยให้คงที่ซึ่งตรงนี้มันสำคัญมากๆ พอแอนคิดได้ว่า เออ เราไม่ได้ออกกำลังกาย เพื่อลดน้ำหนัก หรือเพื่อมีรูปร่างที่ดีอย่างเดียว แต่เราออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่แข็งแรง ไม่เจ็บป่วยง่าย สามารถมีเรี่ยวแรงวิ่งเล่นกับลูกๆได้ หรือทำอะไรที่อยากทำ เช่น ปีนผา วิ่ง trail running  ฯลฯ

เมื่อเปลี่ยนโฟกัสแล้ว มันทำให้แอนรู้สึกอยากออกกำลังกายเป็นประจำ  อยากทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ(เพราะทานเข้าไปแล้วรู้สึกดี ให้พลังงาน บำรุงร่างกาย) มันเปลี่ยนความคิดเราจาก "ต้องทำ" เป็น " อยากทำ" :)
แล้วเวลาออกกำลังกาย โดยเฉพาะยกเวทเนี่ย แอนสนุกกับมัน จากเมื่อก่อน ไม่ชอบและไม่คิดที่จะยก เพราะด้วยความกลัวผิดๆที่ว่า ยกแล้วจะล่ำ บึกบึน แต่ตอนนี้ชอบยกเวทเพราะท้าทายร่างกายเรา ดูสิว่า เราสามารถเพิ่มน้ำหนักเวทได้มั้ย ทำวิดพื้นเพิ่มได้มั้ย หรือทำท่าที่มันยากขึ้นได้มั้ย...เปรียบเทียบจาก"ตัวเรา" ของเมื่อวาน / เมื่ออาทิตย์ก่อน/เดือนก่อน ไม่ใช่เปรียบกับคนอื่น

เรื่องน้ำหนัก แอนไม่กังวลกับตัวเลขบนตาชั่ง ตาชั่งไม่มีที่บ้านนี้ ยกให้แม่ย่าไปเรียบร้อย แอนอาศัยวัดจากเสื้อผ้า กางเกงเอา ถ้าช่วงไหน จัดหนักเกิน(เช่น เดือนก่อนแต๊งส์กิฟวิ่งที่ผ่านมา) กางเกงเริ่มคับ ก็จะเพิ่มผักให้เยอะขึ้น และทานผักทุกมื้อ ลดจำนวนแป้งลง ดื่มน้ำเยอะๆ...ถ้าช่วงไหนต้องการเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ ก็จะทานให้เยอะขึ้น แต่เลือกทานของที่มีคุณภาพนะ โปรตีน ผัก คาร์โบแบบดี ไม่ใช่เยอะพวกไอติม ขนมหวาน...มันง่ายแค่นี้จริงนะ ไม่ซับซ้อนเลย

คำถามที่ 2 อะไรที่เป็นตัวผลักดันให้ลุกขึ้นมาออกกำลังกาย ในวันที่รู้สึกไม่อยากออก?? (จะเพราะท้อแท้ไม่เห็นผลลัพธ์ เซ็งๆกับที่ทำงาน ชีวิตที่บ้าน ทะเลาะกับแฟน กิ๊ก สามี ลูกดื้อ ฯลฯ )

ยกตัวอย่างสดๆร้อนๆเมื่อวาน มีเรื่องให้ต้องคิด คิดไปคิดมา เครียดเลย แล้วมันจะพาลทำให้เซ็ง เกิดอาการไม่อยากออกกำลังกายซะงั้น หลายๆคนคงเคยเจอแบบนี้นะคะ

ตอนแรก ก็นั่งจุ้มปุ๊ก เซ็งเป็ดเซ็งห่าน สักพักแอนก็คิดว่า เออนะ อะไรที่มันผ่านไปแล้ว ก็ผ่านไป จบลงไปแล้ว จะกลับไปแก้ไขก็ไม่ได้ แล้วจะมานั่งเซ็งไปเพื่ออะไร คิดมากเดี๋ยวก็พาลนอนไม่หลับอีก ปล่อยวางซะ จากที่ตอนแรกไม่อยากออกกำลังกาย กะจะลุกขึ้นมาออกตอนเช้าแทน(ก็คงทำไม่ได้ เพราะมัวแต่เครียด นอนไม่หลับ แล้วก็คงจะรู้สึกผิดอีกที่เบี้ยวออกกำลังกาย) เลยลุกไปเปลี่ยนเสื้อผ้าออกกำลังกาย เปิดเพลงปลุกใจ lol Get into the beast mode

Front Squats 4x12
Barbell Side Lunge4x12 each sides
Superset
a) Barbell shoulder press 3x12
b) Single Arm Dumbell Row 3x12
Conditioning Part 12 minutes : 12 cycles 20 sec rest/40 sec max effort
1) Double Dumbells Swings
2) Dumbell Suitcase Deadlift Burpee(with push up)
3) Kettlebell Thruster (L)
4) Kettlebell Thruster (R)

Finish with 1 minute Wall Plank
Wall Plank คือแบบนี้ หลังตรง บีบก้น เกร็งหน้าท้อง ถ้ากำแพงขาวๆ แนะนำเช็ดเท้าทั้งสองก่อน ;)

Stretching & Cool down

ที่ทำด้านบน ใช้เวลาไม่ถึงช.ม.นะคะ รวมวอร์มอัพ ยืดเส้นด้วย เหงื่อออกสะใจมาก อารมณ์ดีขึ้นเป็นกอง...



ถึงแม้หน้าจะยังไม่ได้ล้าง หัวกระเซิง แต่เทียบไม่ได้กับอารมณ์ที่ดีขึ้น


สำหรับแอน การออกกำลังกาย ไม่ว่าจะเป็นการยกเวทหนักๆ หรือแม้กระทั่งทำโยคะ เดินเล่น มันคือการระบายความเครียดนะ ได้สูดลมหายใจลึกๆ ปลดปล่อยอารมณ์ ใช้ความคิดกับตัวเองเงียบๆ สติมา ปัญญาเกิด แล้วเวลาเราได้ออกกำลังกายเรียกเหงื่อเนี่ย ร่างกายเราจะหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน ทำให้เราอารมณ์ดีขึ้น ทีนี้ สมองก็ปลอดโปร่ง คิดหาหนทางแก้ไขปัญหาได้ล่ะ

แล้วมันดีกว่าการที่เรามานั่งเครียดนะ บางคน เครียดแล้วก็กินๆ แอนเคยน่ะค่ะ กินไอติมเป็นกระปุกๆ กินคุกกี้โอรีโอหมดทั้งแถว >.<  กินเสร็จรู้สึกผิด เกิดความคิดแง่ลบกับตัวเอง(ไม่ดีเลย อย่าเอาอย่างนะ)  หรือบางคน เครียดแล้วไม่กินเลย นอนไม่หลับ ก็ส่งผลเสียต่อสุขภาพอีก

สรุป อย่างที่หลายๆคนเคยได้ยิน กีฬา(การออกกำลังกายก็ถือเป็นกีฬาอย่างนึงนะ) คือยาวิเศษ โภชนาการที่ครบถ้วน + ออกกำลังกายสม่ำเสมอ มันทำให้เรารู้สึกดีจากภายใน ย้ำเสมอๆว่า การบำรุงรักษาตัวเอง มันควรเริ่มต้นจากภายในตัวเราก่อนแล้วมันจะส่งผลให้เห็นทางหน้าตา ผิวพรรณรูปร่าง ดีว่าเรามานั่งโบกเครื่องสำอางค์หลายชั้น เพื่อกลบเกลื่อนผิวสิว ผิวตัวเอง ร่างกายเราแข็งแรงแล้ว จิตใจเราก็จะเข้มแข็งตาม

แล้วผู้อ่านล่ะค่ะ มีอะไรจูงใจให้ตัวเองออกกำลังกายสม่ำเสมอ?? มีเคล็ดลับอะไรบ้างที่ช่วยฉุดตัวเองลุกขึ้นมาออกกำลังกาย ในวันที่ไม่อยากออก?? โพสคอมเม้นท์ไว้ด้านล่าง หรือที่เฟซบุ๊คได้นะคะ เผื่อจะช่วยส่องทางคนที่กำลังเจอปัญหานี้

ขอให้สนุกกับการออกกำลังกายนะคะ

ขอบคุณที่ติดตามค่ะ

แอน

ป.ล.เดี๋ยวอาทิตย์นี้จะลงของวันที่ 2 อาทิตย์ที่ 11-12 นะคะ อดใจรอหน่อยนึง

ติดตามอัพเดทของบล็อกได้ที่ Drop Dead Healthy Facebook Page