Pages

Thursday, February 28, 2013

หน้าท้องจะราบเรียบ ได้ด้วยการทำแค่ซิทอัพ และครันช์ จริงหรือ??

สวัสดีค่ะ

Abs อ่านว่า แอ็บส์ มาจาก Abdominal muscles หรือกล้ามเนื้อหน้าท้อง ไม่ใช่ที่หลายๆคนเรียกว่า เอ.บี.เอส....หรือระบบเบรกอะไรหรอกนะคะ

คำถามที่ได้รับทางอินบ็อกซ์เยอะที่สุด ในหมู่สาวๆก็คือ " อยากให้หน้าท้องราบเรียบ อยากมีกล้ามหน้าท้อง ต้องทำท่าอะไรบ้าง??" หรือไม่ก็ " ทำซิทอัพ แพล็งค์ทุกวันเลยค่ะ แต่ทำไมเอวยังไม่ลด หน้าท้องยังป่องอยู่เลย เพราะอะไรคะ??"

เป็นคำถามยอดฮิต แล้วก็เคยเขียนไปก่อนหน้านี้เกี่ยวกับ การออกกำลังกายเฉพาะส่วนแล้วว่า มันไม่ได้ทำให้สัดส่วนนั้นๆเล็กลง ถ้าไม่เชื่อ ก็ไปถามเทรนเนอร์ได้ จะกูเกิ้ลเอาก็ได้(นอกจากจะได้ยินจากโฆษณาเครื่องออกกำลังกายทั้งหลาย หรือชุดกระชับส่วน อันนี้ก็หลอกลวงผู้บริโภค)
บล็อกนี้จะชี้แจงเป็นสองหัวข้อเกี่ยวกับคำถามนี้ คือ
1. ทำไมการทำซิทอัพ ครันช์เป็นร้อยๆ ถึงไม่ได้ผล(และอาจจะส่งผลเสียมากกว่าผลดี)
2. วิธีแก้ปัญหาเรื่องหน้าท้อง

เมื่อสมัยก่อนๆเริ่มลดน้ำหนักใหม่ๆ เอวใหญ่ หนา อยากลดเอว ทำไงล่ะ นี่เลย ซิทอัพ เช้าตื่นมา ทำ 100 ครั้ง ก่อนนอน ซ้ำมันอีก 100 ครั้ง...ก็ไม่เห็นเอวตรูจะลดลงเลยนี่หว่า แถมยังดูหนาๆขึ้นไงก็ไม่รู้
แอนเคยเอาสายวัด วัดระยะห่างระหว่างกระดูกสะโพกกับกระดูกซี่โครง มันห่างกันแค่ 3 นิ้วเอง ลำตัวจะสั้น ตัวจะกว้างๆแบนๆ ไม่ยาวระหงเหมือนสาวๆพวกฟิตเนสโมเดลทั้งหลาย ยิ่งมาซิทอัพเป็นบ้าเป็นหลังแบบนี้ มันเพิ่มความหนาของเอว เข้าไปใหญ่

ซิทอัพร้อยครั้ง มันไม่เห็นผล เพราะ....

1. การเจริญเติบโตของกล้ามเนื้อ
การเทรนกล้ามเนื้อนั้นๆเป็นประจำ จะส่งผลให้มวลกล้ามเนื้อนั้นมีมากขึ้น ใช่มั้ยคะ??  แต่ไหงพอเรานึกถึงหน้าท้องที่ราบเรียบนั้น คอนเซ็ปการเทรนกล้ามเนื้อนั้น หลุดออกวงโคจรไปเลย(ค่ะ ซิทอัพ และครันช์ก็นับกว่าเป็นการเทรนกล้ามเนื้อเหมือนกัน) บ่อยครั้งที่ได้ยินผู้หญิงส่วนมากบอก " ดิฉันไม่อยากยกเวทหนักๆน่ะค่ะ กลัวกล้ามขึ้นใหญ่ น่าเกลียด " หรือ " ไม่อยากยกเวทบ่อยเกิน เดี๋ยวกล้ามจะโตไว" ....เอาเข้าไป >.<

ต่างคนต่างก็มีความชอบส่วนตัวว่า อยากให้หุ่นตัวเองดูเป็นแบบไหน อันนี้จะไม่ขอเถียงบอกว่า อย่าเป็นแบบนี้ แบบนั้น แต่อยากส่งเสริมให้ผู้หญิงทุกคนรู้จักการยกเวท เพราะมันจะเอื้อผลประโยชน์ในหลายๆด้าน ไม่ใช่แค่เรื่องรูปร่างอย่างเดียว

แต่มันตะขิดตะขวงใจก็เพราะ ในเมื่อคุณคิดว่า ไม่อยากยกเวทเพราะกล้ามใหญ่ แต่ทีทำซิทอัพมันทุกวัน เพิ่มเวทท่าเล่นหน้าท้อง ไหงไม่กลัวเอวจะใหญ่ตาม?!?!

กล้ามเนื้อหน้าท้องมันก็เหมือนกล้ามเนื้อส่วนอื่นๆในร่างกายน่ะแหละค่ะ เทรนมันประจำ เพิ่มตัวถ่วงน้ำหนัก(ถือพวก weight plate หรือ ดัมเบลล์เวลาทำท่า crunch หรือ Side Bend) มันก็จะเติบโตใหญ่ขึ้น

ยกตัวอย่าง(เฉยๆนะคะ ไม่ต้องจะตั้งใจจิกกัด)  เช่น บริทนี่ย์ สเปียรส์ สมัยนางสาวๆ หุ่นเฟิร์ม เป๊ะ มาก แต่ถ้าดูช่วงเอว จะหนา ซึ่งเป็นผลมากจากการเทรนหน้าท้องมากเกิน( อิงจากโพส นี้ )ซึ่งมันจะดูโอเคนะ ถ้าคุณสามารถรักษาระดับ ความ Lean ได้ 12%-14%  แต่ในความเป็นจริง ผู้หญิงส่วนมากจะไม่สามารถรักษาได้แบบนี้ตลอดปี (เดี๋ยวโพสหน้าจะเขียน อธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้)

                                      

ลองมาดูสิว่า พอคุณไม่ Lean น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น มีไขมันหน้าท้อง มันจะดูเป็นแบบนี้
ดังนั้นเคสของบริทนี่ย์ เป็นบทเรียนให้กับสาวๆได้ดี

                                         

หากมีคนมาบอกว่า วันนี้ชั้นทำ Squat ไป 300 ครั้ง แทบจะคลานลงบันได หรือ เล่น Leg extension เป็น ครึ่งช.ม. (สิงเครื่องมันอยู่นั่นแหละ) คุณคงจะคิดว่า คนพวกนี้บ้าไปแล้วแน่ๆ

แต่พอเราได้ยินว่า โอย วันนี้เล่นหน้าท้องไปเป็นช.ม. ปวดหน้าท้องค่อดๆ ก็ไม่ยักจะมีคนสะกิดบอกเลยนะว่า จะบ้าเหรอเธอ เล่นอะไรมันครึ่งช.ม.ๆ
แล้วยิ่งไปกว่านั้น ท่าบริหารหน้าท้อง ทำได้ทุกที่ ทุกเวลา ไม่ว่าจะเป็น

ตอนล้างชาม ตอนรอรถเมล์ ตุ๊กๆ มอไซค์รับจ้าง!!! 555 (ก็ยืนแขม่วพุง เกร็งหน้าท้องไว้งัยคะ)

กล้ามเนื้อหน้าท้องเป็นกล้ามเนื้อเล็กๆ ดังนั้นมันจะ recover ได้ง่าย คงเคยได้ยินใช่มั้ยคะว่า เล่น abs น่ะ เล่นได้ทุกวันเลย โอ้ว เสร็จ จะครันช์มันทุกวันเลยทีนี้

พวกนิตยสารออกกำลังกายต่างๆ มักจะมีสกู๊ปพาดหัว " Flat abs FAST!!" แล้วก็จะมีนางแบบ ใส่สปอร์ตบราตัวจิ๋ว โชว์กล้ามเนื้อหน้าท้อง (โดน tanning spray บวกกับโฟโต้ช็อป เพิ่มความชัดเจนไลน์หน้าท้อง) สาธิตท่าบริหารหน้าท้องเหล่านี้
เรามักจะคิดเองเออเอง(อีกแล้ว) ว่า เอ้อ ถ้าเราเล่นท่าพวกนี้ให้บ่อยๆ( เช้า- เย็น) ทำมันทุกวัน ไม่นาน หุ่นแบบนั้นก็จะเป็นของเรา

คิกคิก (เสียงหัวเราะแอนเองค่ะ) เพราะตัวเองก็เคยทำ ใครบอกไม่เคยทำ ขอให้เอวใหญ่ขึ้นอีก 3 นิ้ว...ล้อเล่นค่ะ ^^

อุเหม่ ทำไปๆ ไฉนส่วนเอวมันชักคับฟระ แต่เฮ้ย จับหน้าท้องที่นุ่มนิ่มๆ รู้สึกมีกล้ามเนื้อแข็งๆขึ้นแล้วนะเนี่ย เว้ยเฮ้ย ดังนั้น ต้องทำให้เยอะขึ้น เพิ่มกลางวันด้วยเลย ก่อนกินข้าวกลางวัน เล่นท่าพวกนี้นิดนึง อีกไม่นานล่ะ พุงนำนม ก็จะหายไป โอม เพี้ยง!!

ฮ่วย!!! ไหงเอวกระโปรง กางเกงมันถึงได้คับขึ้นเนี่ย หยิกๆจับๆ กล้ามเนื้อหน้าท้องล่ะแข็งปั๋งเลย

โอ้ว กรูจะบร้าาาตาย!!! สวรรค์ไม่เข้าข้างกันเลยอ้ะ ไหนล่ะหุ่นในฝันของช้านนน!!!

2. การใช้พลังงานในกิจกรรมที่คุณทำ

อาจจะยังไม่กระจ่างว่า ทำไมเราเล่นกล้ามเนื้อหน้าท้องแล้ว มันไม่ช่วยให้หน้าท้องเราราบเรียบ หรือเห็น 6-pack เลย??

ทั้งนี้เป็นเพราะ เวลาเราออกกำลังกาย เราใช้พลังงานที่ร่างกายเราสะสมไว้ (stored energy) ยิ่งเราออกกำลังกายหนักเท่าไหร่ เราก็จะใช้พลังงานมากเท่านั้น อ่ะลองนึกดู เทียบกันระหว่าง ตอนทำท่าสคว็อท กับ ทำซิทอัพ อันไหนทำแล้วเหนื่อยกว่ากัน?? สคว็อทใช้มั้ย เพราะมันเป็นกล้ามเนื้อมัดใหญ่กว่ากล้ามเนื้อหน้าท้อง

การเล่นท่าหน้าท้อง มันบริหารและสร้างความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อหน้าท้องก็จริง แต่หากคุณทำแต่ท่าพวกนี้ ร่างกายก็จะใช้พลังงานแค่น้อยนิด ไขมันก็ยังเกาะแนบแน่นกะตัว แต่กล้ามเนื้อหน้าท้องภายใต้ไขมันกลับใหญ่ขึ้น!! ซึ่งมันตรงกันข้ามกับสิ่งที่คุณอยากให้เป็น

3. อาหารที่คุณทาน

น่าจะเคยได้ยินประโยคนี้กันนะคะ "Abs are made in the kitchen" นัยว่า หน้าท้องอันราบเรียบนั้น เป็นผลจากอาหารที่คุณ(ทำ)กิน แต่คนพูดดั๊นไม่บอกว่า สูตรทำหน้าท้องราบเรียบนี่ ทำยังงัย เราๆทั้งหลายเลยต้องมานั่งงมหาสูตรนั้นเอง

ถ้าอ่านพวกนิตยสารเพื่อสุขภาพ นิตยสารออกกำลังกายหลายแหล่ คอลัมน์ที่เห็นประจำก็ได้แก่พวก อาหารเบิร์นไขมัน, Superfood, Eat fat right Fat!! ที่อิงงานวิชาการ งานวิจัยต่างๆ เช่น ถั่วอัลมอนด์ อโวคาโด ชาเขียวสกัด ฯลฯ ทานแล้วช่วยเบิร์นไขมันส่วนเกินที่สะสมในร่างกาย

อะฮ้า หลายๆคนอ่านปุ๊ป ตีความเสร็จสรรพ ต้องไปซื้ออัลมอนด์ อโวคาโด้ แซลมอน ชาเขียว ปลาแซลมอน พริก และอีกมากมายที่อ่านเจอในนิตยสารเหล่านั้น

แล้วก็เอาอาหารที่ขึ้นชื่อว่าเบิร์นไขมัน มาทำกับข้าวกินมันทุกวัน แล้วก็เฝ้ามองดูไขมันในตัวละลาย ดังเนยที่โปะบนแพนเค้กร้อนๆ(ราดซีรัปด้วยมั้ย อร่อยนา)

อาหารด้านบนนั้นช่วยร่างกายเราเบิร์นไขมันส่วนเกินจริง(เพราะ อย่างน้อยๆ มันคืออาหารที่ผ่านกรรมวิธีการผลิตน้อยที่สุด) แต่แค่บางส่วนน่ะค่ะ ไอ้ส่วนที่ว่า กินเข้าไปปุ๊ป ไขมันจะละลายหายไปปั๊ป มันไม่ใช่

อาหารบางอย่าง(เช่น ไขมัน โปรตีน อาหารที่มีไฟเบอร์สูง) เวลาเราทานเข้าไป จะทำให้ร่างกายรู้สึกอิ่ม อยู่ท้องนาน ป้องกันการสลายตัวของกล้ามเนื้อ และส่งผลให้ร่างกายเราช่วยเผาผลาญไขมันสะสมได้ดีขึ้น แต่การที่เราทานอาหารเหล่านี้ ไม่ได้ช่วยให้ไขมันในตัวเราหายไป หากเราไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน และพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน
คุณคิดว่า หากคุณทานอาหารที่ว่าด้านบน แต่ยังเป็นพวกนั่งๆนอนๆ นิ่งเป็นหลับ ขยับเป็นยัดเค้ก ยัดบุฟเฟห์ คิดว่าตื่นขึ้นมา หน้าท้องมันจะราบเรียบมั้ย???

(อันนี้ทำให้นึกถึงคำถามที่ว่า " กินแอลคาร์เนทีน จะเบิร์นไขมันได้เยอะขึ้นมั้ยคะ?!?! หรือกินเชคยี่ห้อ ___ นี้ จะผอมมั้ย ถ้าคนอ่านยังกินอยู่ ตื่นได้แล้วค่ะ เลิกกินซะ โดนหลอก)

สิ่งที่ช่วยลดไขมันสะสมในตัวคุณก็คือ ลดปริมาณจำนวนอาหาร(โดยเฉพาะอาหารแบบ processed food พวกขนม ของหวาน น้ำผลไม้ กาแฟเย็น ชาเย็น ของทอด ไร้ประโยชน์)ที่คุณทานลง อาหารจำพวกช่วยลดไขมันน่ะ ช่วยได้ค่ะ แต่มันไม่ใช่ยารักษา พูดง่ายๆ จะแก้ ก็แก้ที่ต้นเหตุ ไม่ใช่ปลายเหตุ

แล้วลดปริมาณอาหาร/ลดแคลอรี่นั้น ไม่ได้หมายถึง Crash diet หรือพวกกินน้อย ออกหนัก กินวันละ 500 แคล แน่นอนว่าน้ำหนักคุณจะลดฮวบๆ แต่นั่นจะนำไปสู่ Sagging skin หรือ ผิวหนังหย่อนยาน น้ำหนักลด แต่สัดส่วนรูปร่าง ไม่เข้าที่

นี่ก็โยงไปถึงข้อที่ 2 เกี่ยวกับกิจกรรมที่คุณทำ อาหารที่เราทานเข้าไปเป็นแหล่งให้พลังงาน หากเราทานเยอะเกินที่ร่างกายเราใช้ พลังงานเหล่านั้นก็จะถูกเก็บสะสมเป็นไขมัน
ดังนั้น หากคุณยังมีปริมาณไขมันสะสมในร่างกาย และทานปริมาณอาหารเท่าๆเดิม แถมยังเพิ่มอาหารจำพวกช่วยเบิร์นไขมันเข้าไป(หวังว่ามันจะช่วยลด) ไขมันในร่างกายคุณก็จะไม่ถูกดึงมาเผาผลาญ

สรุปก็คือ ลดปริมาณอาหารที่คุณทานลงโดยเฉพาะพวกจังค์ทั้งหลายแหล่ แล้วก็แทนที่อาหารเหล่านั้นด้วย ทานผัก โปรตีน คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน กรดไขมันจำเป็น ผลไม้ (พวกแป้งขัดขาว เก็บไว้ทานหลังออกกำลังกายได้ ร่างกายจะนำไปใช้ได้ไว) Eat more REAL FOOD!! เผลอๆ คุณจะประหลาดใจ กินก็เยอะกว่าก่อน แต่แคลอรี่น้อยกว่า แถมอิ่มอยู่ท้องนาน
ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน การดำรงชีวิต แล้วคุณก็จะได้ก้าวไปสู่การมีหน้าท้องแบนราบ...อีกก้าวนึง

ถ้าเช่นนั้น สูตรการมีหน้าท้องแบนราบก็คือ...??

ทำท่าบริหารหน้าท้อง + ลดปริมาณแคลอรี่ในอาหารที่ทานแต่ละวันลง = หน้าท้องราบเรียบ.... ยังไม่เชิงสักทีเดียว

คนอ่านเริ่ม อ้าว เฮ้ย จะอะไรอีกล่ะเนี่ย เดี๋ยวก่อนค่ะ ใจเย็นๆ ถ้ามันง่ายเป็นสูตรเป๊ะๆแบบนี้ได้ ป่านนี้สาวๆคงมีหน้าท้องแบนราบกันหมดแล้วชิมิ

อย่างในตอนต้นของบทความที่บอกว่า การทำท่าบริหารหน้าท้องนั้นช่วยสร้างมวลกล้ามเนื้อหน้าท้องได้ แต่มันเป็นกล้ามเนื้อมัดเล็กๆ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องใช้พลังงานเยอะ แอนว่าคนอ่านเนี่ย น่าจะมีกล้ามเนื้อหน้าท้องงามๆซ่อนอยู่ด้านใต้แล้วนะคะ เพียงแต่คุณมองไม่เห็นก็เท่านั้นเอง

ดังนั้น แทนที่จะไปใจจดใจจ่อเล่นแต่หน้าท้อง ให้เปลี่ยนมาเล่นท่าที่ใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ๆ   กล้ามเนื้อที่ว่านี้ก็คือขากับก้นนั่นเอง ;) ...ผู้หญิงที่ไหนจะไม่ชอบขาเรียวสวยกระชับๆ ก้นเด้งๆงอนๆ มั่งละคะ

** สาวๆที่มีช่วงเอวสั้น สามารถทำให้เอวดูเล็กลงได้นะ โดยเทรนก้นให้มันกลม เด้ง งอน ยิ่งเด้งเท่าไหร่ เอวก็จะดูเล็กลงเท่านั้นของแถมอีกอย่างก็คือ เวลาใส่ยีนส์ ก็ดูมีทรง ไม่ใช่แบนราบไปหมด รู้อย่างนี้แล้ว ไปทำ Hip Thrust & Glute Bridge เดี๋ยวนี้!!)

 
 

นอกเหนือจากนี้เราควรเทรน รูปแบบต่างๆที่ท้าทายร่างกายเรามากขึ้น ใช้กล้ามเนื้อ/ข้อต่อหลายๆส่วนในคราวเดียวกัน เพื่อเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ แล้วมันก็มีหลายรูปแบบเลยล่ะค่ะไม่ว่าจะเป็น

Weight lifting
Weight training
TRX
Bodyweight Exercises
Kettlebell
Circuit training( Conditioning circuit)
Sprinting
Yoga
Pilates
Zumba
Kickboxing
MMA
Hiking
Running
Walking
Jumping rope
Volleyball
Football

เป็นต้น อ่านดูแล้ว มันน่าสนุกกว่า endless crunch นะคะ ว่ามั้ย??

นอกเหนือจากเรื่องออกกำลังกายแล้ว เรื่องอาหาร อย่างที่เขียนไปในข้อ 3 ว่าไม่ควรลดแคลอรี่เยอะเกิน และเร็วเกิน เพราะจะทำให้เกิดปัญหาผิวหย่อนยาน ดังนั้น เวลาจะลดน้ำหนัก ควรทำให้เป็นไปอย่างช้าๆและมั่งคง เวลาไขมันในร่างกายเราลดลง หากเราได้สร้างกล้ามเนื้อด้วยแล้ว เรายังได้ให้เวลาอีลาสตินในผิวหนังเราปรับตัว ลดปริมาณไขมันสะสมในร่างกาย 1-2 พาวน์ต่ออาทิตย์ กำลังดีค่ะ ดูไม่โทรมด้วย

อีกเหตุผลนึงที่สำคัญพอๆกับการออกกำลังกาย โภชนาการก็คือเรื่องการพักผ่อน และความเครียด แอนเคยเขียนไว้ที่บล็อก เหตุผลที่ทำไมคุณยังลดน้ำหนักส่วนเกินไม่สำเร็จว่า สองตัวนี้ส่งผลต่อไขมันหน้าท้อง ไขมันในร่างกายยังงัย

แล้วจะเอา Abs Exercises ไปใส่ตรงไหนในโปรแกรมดี??

แอนไม่ได้แอนตี้การเล่นหน้าท้องนะ เพราะตัวเองก็ทำอยู่ เพียงแต่ว่าจะเก็บไว้หลังเล่นเวท ทำอาทิตย์ละ 2-3  ครั้ง โดยที่ทำเว้นวันกัน
เลือกท่ามา 2-3 ท่า ทำท่าละ 3 เซ็ท เซ็ตละ 10-15 ครั้ง เลือกท่าให้หลากหลาย ไม่จำเป็นต้องใช้ตัวถ่วงน้ำหนักหากคุณยังมีชั้นไขมันปกคลุมส่วนเอว หน้าท้อง รอให้เริ่มลีนมากขึ้น เห็นโครงสร้างหน้าท้องตัวเองแล้ว ถ้าอยากจะใช้ตัวดัมเบลล์เพิ่ม ก็ยังได้

ท่าเล่นหน้าท้อง ลองยากๆหน่อย ลองดูจากโพสนี้ของ Girls Gone Strong ดู 10 Ways to train your core without crunches

แล้วจริงๆน่ะ ท่าพวก Squat, Lunge, Kettlebell, Chin up/Pull up, Military Press เหล่านี้ เราต้องใช้ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้าท้อง กล้ามเนื้อ core(ลำตัว) ตลอดเวลา แถมใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ ยิงปืนนัดเดียวได้สองตัวเลย ดังนั้น ให้ความสำคัญกับท่าพวกนี้เยอะๆนะคะ

เรื่องปัญหาผิวหย่อนยาน และหน้าท้องที่ผ่านการอุ้มครรภ์(ทั้งแบบคลอดธรรมชาติ และการคลอดแบบผ่าตัด c-section)

                              

สำหรับสองแบบนี้  อาจจะต้องพึ่งศัลยกรรมผ่าตัดแบบ tummy tuck
ทั้งนี้ มันขึ้นอยู่กับ อิลาสตินในผิวหนังของคุณ,ระยะเวลาที่คุณมีปัญหาผิวหย่อนยาน มีมานานเท่าไหร่แล้ว,ระยะเวลาที่ร่างกายได้ซ่อมแซมตัวเอง(หมายถึง ภายหลังที่ผ่าคลอด หรือลดน้ำหนักแล้วผิวหน้าท้องหย่อนยาน ร่างกายใช้เวลานานแค่ไหน ผิวหนังถึงเริ่มดูเข้าที่ขึ้น)

เรื่องปัญหาผิวหย่อนยาน มันเกิดขึ้นจาก การที่คุณมีน้ำหนักตัวเยอะ ไขมันสะสมในร่างกาย ช่วงเอวเยอะ แล้วก็ทำ Crash diet น้ำหนักตัวลดลงไวเกิน โดยที่ไม่ได้มีเวลาสร้างกล้ามเนื้อขึ้นมา หรือผู้หญิงที่ตอนตั้งครรภ์ น้ำหนักตัวขึ้นเยอะมาก พอคลอดแล้ว น้ำหนักลดลงไวเกิน ,หรือ ระหว่างท้องแรก คลอด น้ำหนักไม่ทันลง ท้องสองก็ตามมา น้ำหนักก็เพิ่มขึ้นไปอีก...ก็มักจะมีปัญหาเรื่องหน้าท้องหย่อนยาน

แต่รู้อะไรมั้ยคะ....ไม่มีผู้หญิงคนไหนในโลกนี้สวย เพอเฟ็ค 100% ขนาดนางแบบ โมเดล ฟิตเนสโมเดลต่างๆ ก็มีปัญหาเรื่องตรงนี้เช่นกัน จุดด้อยหรือจุดที่คุณอยากแก้ไข อยากเปลี่ยน มันคือสิ่งที่ทำให้คุณคือตัวคุณทุกวันนี้ คิดดู หากคุณไม่ได้อยากลดน้ำหนัก(แม้จะต้องแลกด้วย ผิวที่หย่อนยาน ผิวแตกลาย) คุณก็อาจจะไม่ได้มีสุขภาพที่ดีขึ้น ส่วนคุณแม่ๆทุกท่าน หากไม่ได้ตั้งท้อง คุณก็จะไม่มีเทวดาตัวน้อยๆไว้เป็นของขวัญชื่นชมอยู่ทุกวันนี้...ใช่มั้ยคะ?? Our flaws are what make us beautiful ความสวยความงาม มันไม่ได้อยู่ที่ภายนอกอย่างเดียว มันอยู่ที่ความคิด คุณค่าของจิตใจต่างหาก

หากคุณกำลังเจอปัญหานี้ ขอให้รู้ไว้นะคะว่า ความพยายามนั้นจะไม่สูญเปล่า มันอาจจะใช้ระยะเวลานาน แต่ว่า การทานอาหารเน้นเพื่อสุขภาพ การออกกำลังกายเป็นประจำ มันจะช่วยให้หน้าท้องคุณดูดีขึ้น อาจจะไม่เป๊ะเหมือนสาวๆ แต่มันจะดีขึ้นแน่นอน

3 ปีกับการดูแลเอาใจใส่เรื่องอาหาร และออกกำลังกาย
ความพยายาม ไม่สูญเปล่านะคะ

สำหรับตัวเอง เป็นคนช่วงตัวสั้น ตัวแบนๆ บานๆ จะไปทำให้เอวยาวขึ้นก็คงไม่ได้ หน้าท้องมันจะเต่งตึงเหมือนสมัยสาวๆก็ไม่ได้เช่นกัน (ยุบหนอ พองหนอ )รอยแตกลายที่ลูกสาวลูกชายให้เป็นของขวัญก็ยังคงมีหลงเหลือบ้าง ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็นค่ะ แต่ไม่ละความพยายาม หรือขี้เกียจ ปล่อยตัว

แต่ที่รู้อย่างนึงคือ จะไม่กลับไปทำซิทอัพครันช์บ้าบอ วันละ 200,300 ครั้งเหมือนแต่ก่อน แล้วก็เลิกเป็นพวก กินน้อย ออกหนัก หวังพึ่งสูตรไดเอ็ท เชคมหัศจรรย์

ใครมีข้อคิดเห็นอย่างไร ทิ้งคอมเม้นท์ไว้นะคะ เห็นด้วย เห็นต่าง เราคุยกันได้หมด ^^

ขอบคุณที่ติดตามอ่านค่ะ

แอน

ป.ล.บทความนี้แปล เรียบเรียง(แอนเพิ่มเติมจากส่วนประสบการณ์ตัวเองลงไปด้วย) จาก
บทความของ Kellie Davis Mother Fitness

ติดตามอัพเดทของบล็อกได้ทาง Drop Dead Healthy Facebook Page




Saturday, February 9, 2013

โปรตีนมัฟฟิ่นแครอทแบบคลีน

สวัสดีค่ะ

สูตรนี้มาจาก Jamie Eason's Carrot protein bars  ซึ่งเป็นสูตรที่ทำได้ในช่วง 12 week livefit program ที่แอนทำอยู่ตอนนี้ กินของว่างแล้วมันช่วยเพิ่มกล้ามได้ อะฮ้า เป็นไปได้หรือ lol แต่ต้องไปเวทปั๊มกล้ามด้วยนะ(ยืมคำคุณอิ่มมา)

มัฟฟิ่นนี้เป็นแบบ โลว์ แฟต โลว์ คาร์บ แต่ไฮ โปรตีน เหมาะสำหรับทานเป็นของว่างคั่นระหว่างมื้อ แอนใช้เป็นสแน็ค ตอนนี้แสน็คระหว่างมื้อคือ ช่วงเช้า และ เย็น จะเลือกกินโปรตีนมัฟฟิ่นนี้แค่วันละครั้ง ส่วนอีกมื้อ จะเป็นพวก ไข่ ไก่ กับผัก มากกว่าจะกินมัฟฟิ่นมัน 2 มื้อสแน็ค 
ส่วนผสมที่ต้องมี
  • แป้งโอ๊ตมีล 1 ถ้วย* - แอนไม่ได้ซื้อแป้งโอ๊ตมีลสำเร็จรูปมา แต่ใช้เครื่องปั่นอาหาร ปั่นโอ๊ตมีล 1 1/4 ถ้วย ใส่เกินๆปั่นไปก่อน แล้วค่อยตวงออกมาให้ได้ 1 ถ้วย 
  • เวย์โปรตีนรสวนิลา 2 สกู๊ป (ถ้าใครไม่เน้นเพิ่มปริมาณโปรตีน ข้ามตัวนี้ไปได้นะคะ)
  • น้ำตาลแบบ 0  แคลอรี่ 1/2 ถ้วย แอนใช้ Stevia มันสกัดจากธรรมชาติ ไม่เหมือนแอสปาแตม ซึ่งเป็นสารให้ความหวานแบบสังเคราะห์ 
  • เกลือ 1/4 ช้อนชา
  • ผงอบเชย 2 ช้อนชา
  • Baking soda 1/2 ช้อนชา
  • ผงฟู Baking powder 1 ช้อนชา...ในสูตรมันไม่มีอ่ะ แต่แอนใส่ไปเอง
  • Nutmeg (ลูกจันทน์ป่น) 1/8 ช้อนชา
  • Clove ( กานพลูป่น) 1/8 ช้อนชา
  • ไข่ขาว 4 ฟอง....แอนใช้ ไข่ 1 ฟอง ไข่ขาว 2 ฟอง
  • อาหารเด็กแครอท 8 oz.- ทำเอง ใช้แครอท 3 หัว หั่นแล้วเอาไปนึ่งให้สุก  แล้วไปปั่นในเครื่องปั่น ใส่น้ำลงไปนิดหน่อย ให้เหลวๆ เหมือนอาหารเด็กน่ะค่ะ แอนใช้ 1 ถ้วย
  • น้ำเปล่า 1/4 ถ้วย...ใช้นมอัลมอนด์ที่ทำเอง
สูตรนี้ทำได้ 12 มัฟฟิ่น

* เรื่องแป้งโอ๊ต มีคนถามว่าใช้โฮลวีทได้มั้ย ได้นะคะ แต่ว่าปริมาณคาร์โบไฮเดรตจะสูงขึ้น แป้งโอ๊ต 1 ถ้วย ให้คาร์บ 54 กรัม ส่วนแป้งโฮลวีท 1 ถ้วย ให้คาร์บ 96 กรัม คนที่คุมปริมาณคาร์บ โปรตีน ควรดูตรงนี้ด้วย

วิธีทำ
วอร์มเตาอบไว้ 350 F
เตรียมถาดมัฟฟิ่น โดยสเปรย์ non-stick cooking spray สเปรย์ในหลุมมัฟฟิ่น เอาทิชชู่เช็ดส่วนด้านบนถาด จะได้ไม่ทิ้งคราบ หรือจะใช้น้ำมันมะพร้าว หยอดลงหลุม ขนาดเท่าปลายหัวเข็มหมุดน่ะค่ะ แล้วก็ทาให้ทั่ว
ถ้าใครจะใช้ถาด 8"x8" อบก็ได้นะคะ ตรงนี้จะทำออกมาได้ 16 บาร์เล็กๆ

1. ผสมส่วนของแห้ง ได้แก่ แป้งโอ๊ต ,เวย์โปรตีน, Stevia, เกลือ, ผงฟู, baking soda, ผงอบเช่ย, nutmeg, clove ลงในอ่างผสมใหญ่ แล้วเอาส้อมคนให้เข้ากัน


อันนี้เป็นหน้าตาของน้ำตาล Stevia ที่้เมืองไทยเราหาได้มั้ยคะ?? ที่เมกา แอนซื้อจาก Target ราคากระปุกละ $3 เหรียญนิดๆ ใช้แทนน้ำตาลทราย(ในขนมอบ)ได้ ถ้วย:ถ้วย







2. ตามด้วยแครอทนึ่ง,ไข่,น้ำหรือนมอื่นๆ



3. คนส่วนผสมให้เข้ากัน

4. ใช้ช้อนตักไอติม ตักส่วนผสมหยอดลงหลุมมัฟฟิ่น ถ้าใครใช้ถาดอบ ก็ข้ามขั้นตอนนี้ไป


5. ตวงๆให้เท่ากันนะคะทั้ง 12 อัน เสร็จก็เอาเข้าเตาอบที่วอร์มไว้
 


แอนใส่ถั่วพีแคนแต่งหน้านิดนึง พอดีมีเหลือจากทำคุกกี้ครั้งก่อน



6. มัฟฟิ่น จะอบประมาณ 15-16 นาที หรือเอาไม้จิ้มฟันจิ้มลงเทส ดึงออกมาแล้วไม่มีอะไรติด ส่วนถ้าใครใช้ถาด 8x8 จะอบประมาณ 20-25 นาที

7. สุกแล้ว เอามาผึ่งให้เย็นลง 10 นาที ...กลิ่นหอมมากเลยยย อยากกินๆ


8. เอามีดไม่คม มีดปาดเนยน่ะค่ะ แซะๆรอบๆมัฟฟิ่น เหมือนแซะขนมครกเลยแหละ แล้วก็เอาเรียงใส่ถาด
                               
9. หน้าตาน่ากินใช่ป่าว ไม่บอกไม่รู้นะว่ามันเป็นขนมสูตรคลีน^^  นี่ถ้าอยู่เมืองไทย แอนเปิดประตู้หน้าบ้าน เปิดร้านขายแล้วล่ะค่ะ lol ที่นี่ทำไม่ได้ เดี๋ยวโดนจับ


 เนื้อข้างในจะเป็นแบบนี้ นุ่มๆ หอมกลิ่นพวกอบเชย ลูกจันทน์ ไม่หวานเหมือนเค้กทั่วไปน่ะค่ะ


สำหรับ Serving size 3 มัฟฟิ่น ต่อมื้อสแน็ค ส่วนสำหรับคนที่ใช้ถาด 8x8 จะได้ 4 บาร์เล็กๆ/ มื้อสแน็ค

Enjoy cooking & eating clean นะคะทุกคน เดี๋ยวจะสรรหาสูตรใหม่ๆมาลงอีก ครั้งหน้า จะเป็นสูตรอาหารไทย รอติดตามนะคะ ^^

แอน

ติดตามอัพเดทบล็อกได้ทาง Drop Dead Healthy Facebook Page

Monday, February 4, 2013

คุกกี้เพิ่มกล้าม สำหรับอาหารเช้า หรือแสน็ค

สวัสดีค่ะผู้อ่านทุกท่าน :)

หายหน้าหายตาไปตั้งแต่วันศุกร์ เพราะมัวแต่ยุ่งกับงานวันเกิดเด็กๆ ทำเค้กให้ทั้งสองคน อันนี้เป็นความสามารถซ่อนเร้น(ฮาๆ เอ๊ะยังงัย) ลูกสาวขอเค้กแมว Luna cat ในการ์ตูนเซเลอร์มูน ส่วนลูกชาย ชอบการ์ตูน Pocoyo อยากได้เค้กการ์ตูนนี้ ไม่ได้แต่งหน้าเค้กหลายปี สนิมเกาะมากเลย ได้มา 2 เค้กแบบนี้ค่ะ มีลูกมือทั้งสองคอยช่วย lol สนุกดี แต่งเค้กไป มือก็จิ้มครีมไป


ท้าวความหลังหน่อยนึง(แอบนอกเรื่อง) ตอนมาที่นี่ใหม่ๆ แอนบ้าทำขนมมาก ขนมเค้กในตำนานของห้องก้นครัวที่เค้าว่า สุดยอดๆอร่อยๆ แอนก็ดั้นด้นทำมันหมด  ไปเรียนแต่งหน้าเค้กด้วยล่ะค่ะ เคยคิดๆฝันๆ ว่าอยากจะมีร้านขายเค้ก ขายไอติมเล็กๆที่นี่ แอนทำ สามีตักขาย ลูกๆช่วยเรียกลูกค้า (แล้วไปเปิดยิมข้างๆร้าน กินแล้วไปรีดไขมันต่อ ฮาๆ ) อุตสากรรมในครัวเรือน
แต่สุดท้าย พวกอุปกรณ์แต่งหน้าเค้กต่างๆก็ถูกเก็บเข้ากรุไป เพราะหันมามุ่งมั่นออกกำลังกาย แทนกินเค้ก lol

วันนี้มีสูตร Protein Cookies คุกกี้อัดแน่นไปด้วยโปรตีน เหมาะสำหรับทานตอนเช้าเวลาเร่งรีบ หรือทานเป็นสแน็คอาหารว่าง แก้อาการอยากกินของหวานได้ดีแท้ :D อะฮ้า ใครว่ากินคลีน แล้วพวกขนมหวานจะกินไม่ได้ ;)
ลอกสูตรมาจากเว็บนี้นะคะ Protein breakfast cookies แต่เอามาปรับนิดนึง

สูตรนี้ทำได้ 12 คุกกี้ อันขนาดเท่าฝ่ามือ

กล้วยหอม 2 ลูก บดเละ
น้ำมันมะพร้าว 3-4 ช้อนโต๊ะ
ไข่ไก่ 2 ฟอง
แป้งอัลมอนด์(Almond flour/meal) 1/2 ถ้วย(เอากากอัลมอนด์จากโฮมเมดนมอัลมอนด์ หรืออัลมอนด์ดิบมาปั่นเองก็ได้ ปั่นให้ละเอียดๆ), หรือ แป้งมะพร้าว,แป้งโฮลวีต
โอ๊ตมีล 1 ถ้วย หรือมากกว่า
Baking soda 1 ช้อนชา
ซินนาม่อน(อบเชย)ป่น 2 ช้อนชา
วนิลา 1 ช้อน
Whey protein powder 2 สกู๊ป แอนใช้ Optimum Nutrition Gold Standard, All natural protein powder ไม่มีส่วนผสมสารให้ความหวานเทียม(แอสปาแตม)
ลูกเกด 1/2 ถ้วย
ถั่วพีคาน (Pecan) 1/2 ถ้วย * ถ้าหาถั่วนี้ไม่ได้จะเปลี่ยนเป็น วอลนัท อัลมอนด์ หรือแม็คคาเดเมียก็ได้นะคะ แต่สับหยาบๆหน่อย

วิธีทำ

1. วอร์มเตาอบไว้ 350 F
2. เอาหมอเล็กๆตั้งเตา ไฟกลาง ละลายน้ำมันมะพร้าว
3. เทน้ำมันมะพร้าวลงในอ่างผสม ใส่กล้วยหอมบดเละลงไป ตามด้วยไข่ไก่ วนิลา คนให้เข้ากัน
                              
4. ใส่แป้งอัลมอนด์ ,ตามด้วยโอ๊ตมีล 1 ถ้วย, baking soda,ซินนาม่อนป่น และโปรตีนพาวเดอร์รสวนิลา * เลือกยี่ห้อดีๆมีคุณภาพนะคะ ใช้ของถูก เนื้อขนมออกมาจะแห้งร่วน*
ใส่ลูกเกด 1/2 ถ้วย ถั่วพีคาน( pecan) 1/2 ถ้วย...ลืมถ่ายรูปตรงนี้แหละ

5. คนส่วนผสมให้เข้ากัน ดูconsistency ให้ไม่เหลว ประมาณเหมืองโดว์คุกกี้ปรกติ ถ้ายังเหลว ก็ค่อยๆเติมแป้งอัลมอนด์หรือโอ๊ตมีลได้ ตอนแอนทำ ใช้แป้งอัลมอนด์ 1/2 ถ้วย โอ๊ตมีล  1 1/2 ถ้วย
                
6. เอากระดาษ parchment paper รองถาดอบคุกกี้ ใช้ช้อนทานข้าว 2 ช้อน ปั้นๆ หยอดคุกกี้ลงบนถาด ถาดนึง แอนหยอดได้ 6-8 อัน

7. เอาเข้าอบ อบประมาณ 12 นาที หรือหน้าคุกกี้เหลืองนิดๆ กลิ่นหอมอบอวลทั่วบ้าน

8. เอาตะหลิวแซะคุกกี้ ผึ่งบนตะแกรงให้เย็น เก็บในกล่องพลาสติกมีฝาปิด....แต่ส่วนมากไม่เคยเหลือข้ามวันเลยค่ะ พ่อบ้าน กะเด็กๆฟาดกันเรียบ


กัดให้เห็น lol ว่ามันนุ่มๆ จะคล้ายเค้ก+ chewy cookies มากกว่าคุ้กกี้กรอบๆบ้านเราน่ะค่ะ

Serving size สำหรับผู้หญิง 2 คุกกี้/มื้อสแน็ค ผู้ชายทานได้เยอะหน่อย 3-4 คุกกี้ อย่าเห็นว่า มันดีต่อสุขภาพแล้วกวาดเรียบ portion control ยังสำคัญ แคลอรี่ก็ยังเป็นแคลอรี่

ลองดูกันนะคะ ทำเองแบบนี้ ส่วนผสมไม่เยอะ ดีกว่าเราไปซื้อพวกprotein bars, power bars ที่เค้าขาย ลองอ่านดูส่วนประกอบสิว่าเค้าใส่อะไรบ้าง เทียบกับแบบโฮมเมด

Enjoy eating ค่ะ :)

แอน

ติดตามอัพเดทได้ทาง Drop Dead Healthy Facebook Page